ความเห็นที่ได้จากการขับขี่
BMW K1200R Sport
Banana 's Comments
K1200R Sport ลูกครึ่งสายพันธุ์เยอรมัน ที่ไม่คุ้นตาคนไทยคันนี้ ส่งมอบสู่มือสามเกลอหัวแข็งชาวพายุในสภาพที่เป็นรถเดโม
หรือรถทดลองขับขี่จาก BMW Thailand เพื่อให้เรามาทดลองสัมผัสแนวความคิดใหม่ในการออกแบบของรถจากค่ายนี้กันตอนบ่ายๆวันศุกร์
เพื่อทดลองขับขี่ใช้งานในเมืองช่วงค่ำวันศุกร์ และวันเสาร์อีกเต็มๆวัน ก่อนจะไปทดลองเค้นสมรรถนะกันในสนามช่วงสายๆวันอาทิตย์
ซึ่งคนที่รับบททดลองขย่มในเมืองก็คือผมและอีตาเกียร์ 7 ที่สลับกันซ่อกแซ่กบนถนนที่มีปริมาณรถหนาแน่นอย่างรามอินทราและเลียบทางด่วนฯ
ขึ้นชื่อว่า BMW จุดเด่นของมันคือความสะดวกสบาย
และปลอดภัย
แต่จุดขายของ K1200R Sport คันนี้ทำมาเพื่อตอบโจทย์ของนักเล่นรถค่ายใบพัดสีฟ้าที่ต้องการพลังความแรงของบล๊อคเครื่อง
4 สูบเรียงในฟังก์ชั่นที่สนองตอบการเดินทางไกล นอกเหนือไปจากการขับขี่โฉบฉายในเมืองเหมือนเจ้า
K1200S และ K1200R ผู้เป็นพี่ ฟีลลิ่งการคอนโทรลรถในเมืองก็แทบไม่ต่างไปจาก K1200R
มากนัก แต่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับ K1200S สำหรับการขับขี่บนถนนยาวๆ
ที่ตำแหน่งการควบคุมรถของผู้ขับขี่ K1200R Sport จะสบายมากกว่า แต่ถ้าดูที่ประสิทธิภาพการรีดลมที่มาปะทะตัวผู้ขับขี่ซึ่งเกิดจากการทำงานของชุดแผ่นใสบังลมและแฟริ่งชุดหน้าของรถ
จะรู้สึกได้เลยว่า K1200S รีดลมได้ดีกว่า K1200R Sport แต่ก็ยังดีกว่าขี่แบบเกร็งคอต้านลมบน
K1200R จุดที่เคืองใจ ทำให้สมาธิเสียอย่างมาก็คือ ตำแหน่งของกระจกมองข้างที่ติดตั้งก้านยึดอยู่บนแฮนเดิ้ลบาร์
ระยะของแผ่นกระจกเข้าใกล้แขนผู้ขับขี่ ทำให้เวลาต้องการมองหลัง จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการละสายตาจากการมองทัศนวิสัยหน้ารถมามองกระจก
รวมไปถึงการแสงรบกวนของการกระพริบไฟเลี้ยวหน้า ที่ทะลุผ่านช่องแฟริ่งเข้ามาแยงตาผู้ขับขี่ในเวลากลางคืนอย่างชัดเจน
ซึ่งนี่คือตัวแปรเรื่องความปลอดภัย ที่ผมว่า BMW พลาดครับ สำหรับรถที่ต้องการให้ขับขี่ทางไกลด้วยความปลอดภัย
จุดเด่นของ
K1200R Sport ที่ "กินขาด" รถจากค่ายญี่ปุ่น ก็คือความฉลาดซึ่งอยู่ในจอดิสเพลย์แสดงผลใต้แผ่นบังลมนั่นแหละครับ
ที่โชว์สารพัดค่าการแสดงผล ซึ่งเอื้อต่อการขับขี่เดินทางท่องเที่ยวทางไกลๆ ไม่ว่าจะเป็น
ค่าความดันลมยาง ระดับเชื้อเพลิง อัตราสิ้นเปลือง คำนวนระยะทางจากปริมาณเชื้อเพลิงที่เหลือ
ความเร็วเฉลี่ย เป็นต้น แต่ก็ต้องทำใจไว้เหมือนกัน ว่าถ้ามีอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดเพี๊ยน
มันจะแสดงผลการเตือนเป็นไฟกระพริบ แยงตาคุณตลอดเวลาที่ขับขี่อยู่เช่นกัน
จากที่เคยทดลองขี่ K1200S และ
K1200R
มาก่อนหน้านี้บนถนนและในสนามแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ยังจำสัมผัสแห่งแรงดึงยามที่กระแทกคันเร่งแบบดุดันได้ดี
แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองขี่แบบเน้นการจับผิดระบบช่วงล่างของสายพันธุ์นี้ในสนามมาก่อนแบบเต็มตัว
แต่หนนี้เรามีโอกาสได้ขยี้คันเร่ง K1200R Sportแบบเต็มมือในสนาม BRC ที่มีแต่โค้งสั้นๆ
แคบๆ ดังนั้นกำลังสูงสุดที่รอบการทำงานที่ระบุมาในโบรชัวร์จึงไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่เน้นไปที่การคอนโทรลรถในรอบการทำงานต้นๆ
บนโค้งฝืนธรรมชาติเสียมากกว่า ซึ่ง K1200R Sport ทำให้ผมทึ่งในประสิทธิภาพของระบบช่วงล่างและการคอนโทรลรถ
ที่สามารถพับรถเข้าโค้งด้วยความว่องไว ทั้งๆที่ดูภายนอกแล้วมันมีขนาดใหญ่โตบ๊ะลึ่กกึ๊กไม่ใช่น้อย
ซึ่งความง่ายในการพับรถเปลี่ยนไลน์เข้าโค้งสามารถตอบสนองการออกโค้งด้วยการกระชากคันเร่งในองศารถที่เกือบจะตั้งตรงด้วยความรุนแรงของการกระชากคันเร่ง
ระบบขับเคลื่อนด้วยเพลาตามแบบฉบับผู้ดีของรถค่ายนี้ก็ยังสามารถตอบสนองการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ลงสู่พื้น
ควบคุมการยึดเกาะด้วยระบบช่วงล่างได้แทบไม่มีที่ติ ตัวรถสามารถดีดทะยานขึ้นสู่รอบการทำงานที่สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นแทบไม่ต่างจากรถค่ายญี่ปุ่นที่เป็นรูปทรงสปอร์ทเรพลิก้าแต่อย่างใด
จะมีข้อตินิดนึงก็ตรงช่วงการตัดต่อกำลังระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ ที่รู้สึกได้ชัดเจนว่า
อยากได้ความรู้สึกตรงนี้ของ Kawasaki GTR1400 มาใส่ทดแทนความรู้สึกที่ได้จาก BMW
เพราะมันยังรู้สึกว่ายังมีช่องว่างของการถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้ออย่างสัมผัสได้ชัดเจนทีเดียววงเลี้ยวกว้าง
ระบบเบรคเป็นอีกจุดหนึ่งที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพระหว่างแบรนด์
Brembo ที่เคยประจำการอยู่ใน K1200S และ Tokico ที่อยู่ใน K1200R Sport คันนี้ ในช่วงของการส่งคันเร่งมาแบบตึงมือ
แล้วต้องกำเบรคแบบ "ใช้ทั้งหมด" ที่ยังรู้สึกได้ว่า K1200R Sport ยังมีอาการ "ไหล" ต่อเนื่องจากจุดเบรคที่เราต้องการ
แต่ทำอย่างไรได้ล่ะครับ ในเมื่อรถมันไม่ได้ออกแบบมาให้ขี่แบบโหดๆในสนามแข่ง แต่เน้นความนุ่มนวลบนถนนเสียมากกว่า
แต่อัตราเร่งที่มีให้มา ก็สามารถฉีกหนีการกระทืบคันเร่งของรถกระบะแรงสูงของท้องถนนเมืองไทยได้อย่างแน่นอน
ถามว่าคุ้มไหม สำหรับการจ่ายเงินขาดหนึ่งล้านไปแค่หนึ่งหมื่นบาทสำหรับรถคันนี้
ถ้าตอบโจทย์การใช้งานเดินทางไกลที่ไม่จำเจอยู่กับรถทัวริ่งคันใหญ่ยักษ์ ก็ถือว่าคุ้มสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวและภาพลักษณ์ที่ดูเป็นสปอร์ทมากกว่า
แต่ถ้าสำหรับผม หนึ่งล้านบาทสำหรับรถเดินทางไกล ผมยังหงุดหงิดกับมัน แต่ยอมดูเป็นคนแก่และจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อสอย
K1200GT มาขี่ดีกว่าครับท่าน
*****
Gear7 's Comments
เริ่มต้นรู้จักมันก็ตอนที่เจ๊บาพากลับมาจอสงบนิ่งในบ้าน เดินลงมาลูบคลำมันดูสักพักนึง
สำรวจตรวจตราความเรียบร้อยและชิ้นงานต่างๆ เพราะตัวล่าสุดทื่ผมได้ขี่ BMW ก็ K1200GT
ก็เดาๆ เอาว่าความรู้สึกมันคงไม่ต่างกันเท่าไหร่เพราะไซส์ของมันยังไงดูๆ ภายนอกก็ยังเป็นรถทัวริ่งมากกว่ารถสปอร์ต
แน่นอนน้ำหนักรถและส่วนสูงของเบาะเป็นอุปสรรคสำคัญของคนรูปร่างเล็กอย่างผม
ไรดิ้งโพสิชี่นคนตัวเล็กลำบาก
ตอนสายๆ ก่อนที่ผมจะขี่มันผ่าเมืองเข้าไปที่สนาม
BRC หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถพยายามปรับตำแหน่งมือครัชต์มือเบรก ก็รู้สึกแปลกใจ นิดหน่อยเพราะรู้สึกว่ามันปรับได้น้อยมากๆ
โดยเฉพาะมือครัชต์ที่แม้จะปรับตั้งไว้ต่ำสุดก็ยังแทบจะสุดปลายนิ้วของผมทีเดียว คงจะลำบากแน่หากต้องซิกแซกผ่านการจราจรติดขัด
โดยเฉพาะเวลาเลี้ยวแคบๆ ซึ่งก็จริงดังที่คาดไว้จะมีปัญหามากเวลาเลี้ยวยูเทริ์น ต้องเล็งจะหวะดีๆ
เพื่อให้ยูเทิร์นผ่านไปได้โดยไม่ต้องใช้ครัชต์เลี้ยงรอบเอาไว้ ส่วนเวลาออกตัวจากไฟแดงต้องปล่อยครัชต์เกือบจะสุดรถถึงจะวิ่งออกไป
และถ้าปล่อยเร็วเกินไปล้อจะมีอาการสไลด์เล็กๆ ให้ตกใจเล่น เพื่อให้ดีขึ้นผมลองปรับโหมดการขับขี่เป็นแบบคอมฟอต
แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าความแรงของรถไม่หลบหนีหายไปไหน ก็สมแล้วครับที่ชื่อมันเป็น
K1200 R Sport
น้ำหนักตัวมาก คนตัวเล็กต้องรักษาบาล๊านซ์ดีๆ
น้ำหนักตัวของมันมากในความรู้สึกของผม
แต่ยังดีที่ว่าเมื่อออกตัวไปแล้วรถมันจะบาล๊านซ์ตัวเองค่อนข้างดี ในความเร็วต่ำๆ
ต้องใช้เบรกหลังช่วยประคองรถเพราะช่วงเบาะที่กว้างและสูงเวลาหยุดรถตรงไฟแดงต้องตั้งใจยืนด้วยขาใดขาหนึ่งเต็มเท่าเอาไว
อุปกรณ์สัญญานไฟ ไม่ค่อยชินคนไม่เคยจับควรระวัง
สำหรับผมเองที่นานๆ
จะได้ขับขี่รถยุโรปสักที สิ่งที่ต้องปรับตัวขนานใหญ่คือเรื่องของซิกแนล หรือการใช้สัญญาไฟ
แตรต่างๆ บนแฮนด์ทั้งสองข้าง เพราะวิธีใช้การใช้งาน Function Interface กลับความรู้สึกกับรถญี่ปุ่น
เช่นไฟเลี้ยวขวาก็อยู่นิ้วโป้งขวา ไฟเลี้ยวซ้ายก็อยู่ที่นิ้วโป้งซ้ายแต่เวลายกเลิกสัญญานไฟต้องมาคุมด้วยนิ้วโป้งขวาอีกครั้ง
ทำให้มึนเหมือนกันสำหรับคนนิ้วสั้นอย่างผม แถมยังไปกวนการใช้คันเร่งและเบรกไม่น้อย
โดยเฉพาะเวลารถติดๆ ซึ่งถ้าคุ้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ระบบเบรกโดยรวมดีเยี่ยม แต่ ABS ที่เบรกหลังทำงานเร็วเกินไป
ในจังหวะที่ซอกแซกรถติดๆ
จริงๆเราใช้เบรกหลังกันค่อนข้างเยอะบางทีเรามั่นใจว่าน้ำหนักที่ให้ไป ยังไงล้อก็ไม่ล๊อก
แต่ ABS ก็ทำงานกระตุกถี่ๆ เตือนที่คันเบรกเสียแล้ว ส่วนเบรกหน้านั้นเรียกว่าสั่งได้ไม่ได้ทำงานตื้นเกินไปเหมือนเบรกหลัง
เครื่องยนต์ดุดันสมคำโฆษณา
แรงม้า 160 กว่าตัวที่ซุกอยู่ในเครื่องทำงานของมันได้ดี
เรียกว่าถ้าคุณต้องการอัตราเร่งจากความรู้สึกแล้วแทบไม่ต่างจากโอเพ่นคลาสค่ายญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก
รอบต่ำๆ ถึงรอบกลางๆ เดินคันเร่งได้ตามใจจะมีอาการแร็คของคันเร่งบ้างนิดหน่อยเมื่อหยุดคันเร่งแล้วเปิดใหม่แถวๆ
6 พันรอบ แต่แก้ได้ด้วยการชิพดาวน์เกียร์ลงมาสักเกียร์ ก็ยากเหมือนกันที่ใครจะมีขี่ไล่ก้นคุณ
ต้องพูดว่าเรื่องกำลังเครื่อง BMW ที่ผ่าครึ่งมาจากตัว M3 ตัวนี้ไม่ใช่ขี่ไก่ให้ใครมาล้อเล่นแน่นอน
ช่วงล่างเยี่ยมทั้งหน้าและหลัง
หากเปรียบเทียบกับรถทัวริ่งขนานแท้อย่าง
1400GTR แล้วแม้ว่าจะปรับโหมด Comfort ยังไงก็กระด้างกว่ากันเล็กน้อย ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือโค้งซ้ายเสาไฟของสนาม
BRC จะมีลอนคลื่นถ้าเปรียบเทียบกันการซึมซับแรงสะเทือนในโค้งยังเนียนสู้
GTR ไม่ได้ แต่ก็ยังนำโด่งหากเทียบกับรถสปอร์ตตัวอื่นๆเจ้า K1200R Sport ตัวนี้
จะกลายเป็นโซฟาที่วางอยู่บนจรวดไปทันที จุดเด่นของระบบกันสะเทือนแบบเทเลเรฟเวอร์
คือไม่มีอาการสวิงตัวของแกนโช้คทำให้ K1200R เข้าโค้งได้แม่นยำดีมาก ไม่พอใจยังสามารถปรับได้ด้วยมืออีกนะคร๊าบ...
เพียงแต่ก่อนจะไปปรับอะไรมันควรศึกษาระบบการทำงานของมันโดยละเอียดเสียก่อนครับ
การวิ่งใช้งานในเมือง ความร้อนขึ้นเร็วไปหน่อย
แค่รถติดเพียงนิดเดียวพัดลมความร้อนก็ทำงานเสียแล้ว
ดังนั้นหาคุณคิดจะซื้อมันขี่ใช้งานเมืองแล้วผมว่าไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่ เพราะดูท่าทางมันจะขี้ร้อนเอาเรื่อง
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะร้อนจนฮีตนะครับ เข็มความร้อนของมันก็ยังปกติ แต่คุณอาจจะเสียวหน่อยเพราะพัดลมหม้อน้ำจะทำงานเกือบตลอดเวลาที่รถติด
ผมมั่นก้มมองดูมาตรวัด ว่าจะมีการเตือนเรื่องความร้อนหรือไม่ แต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกตุ
มีแต่เสียงพัดลมเท่านั้นแหละที่ผมไม่ค่อยจะคุ้น
แล้วที่ไหนจะเหมาะกับเจ้า BMW K1200R Sport ?
ถ้าถามผมนะ แม้ว่ามันจะเป็นรถสปอร์ต
แต่มันก็ไม่ใช่รถที่จะเอาไว้ขี่สนามอย่างแน่นอน ที่ที่เหมาะกับมันที่สุดเห็นจะเป็นการขับขี่ท่องเที่ยวทางไกลตามยีนส์หลักของมัน
ด้วยอารมณ์ของคุณที่กระหายการท่องเที่ยวบนฟรีเวย์ โดยมีของแถมแบบว่า คุณยังติดอารมณ์ของรถสปอร์ตและมีส่วนสูงเกิน
170 ขึ้นไป มันน่าจะเป็นตัวเลือกตัวนึงที่น่าสนใจทีเดียว ผมชอบในความกระฉับกระเฉงไม่เชื่องช้าจนให้ใครไล่จี้ก้นเอาได้ง่ายๆ
อัตราเร่งในช่วงสั้นที่ได้ลอง แค่ไหลตามเกียร์ขึ้นไปด้วยรอบตึงมือ เผลอกระพริบตาสองทีก็ขึ้นไปแตะ
180 แล้ว ! ประกอบกับช่วงล่างดีๆ เบรกดีๆ แบบนี้ อยากไปเที่ยวไหนก็คงไปได้เลย ที่เหลือก็อย่าลืมพกกระเป๋าเก็บความสุขไว้ด้วยแล้วกันครับ
;-)
****
Rider 11 's Comments
พอรู้ว่าจะได้ทดสอบเจ้าตัวนี้ก็พยายามนึกทบทวนฟิลลิ่งที่เคยได้ขี่เครื่องโมเดลนี้มาในรุ่นอื่นๆ
ก็พอจะเดาได้ว่าความมันส์ของการเทสต์จะเป็นในแบบไหน
ตำแหน่งท่านั่งออกไปแนวสปอร์ตทัวริ่งอย่างชัดเจน ด้วยลักษณะแฮนด์ที่เป็นแบบแฮนด์บาร์ทำให้ตัวไม่ต้องก้มมากเหมือนรถสปอร์ตทั่วไปแต่ด้วยถังน้ำมันที่ค่อนข้างยาวสำหรับคนความสูง
170 ซม.อย่างผมก็ยังต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พักเท้าสูงกว่ารถทัวริ่งหรือเน็กเก็ตไบค์แต่ก็ไม่โหดร้ายเหมือนรถสปอร์ต
ท่านั่งพร้อมที่จะโหนตัวเข้าโค้งได้ตลอดเวลาแต่ยังคงเหลือความสบายเพื่อการเดินทางไกลไว้ได้น่าประทับใจ
ฟิลลิ่งเครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียง
กำลังเครื่องจะมีมาให้ใช้สนุกติดมือช่วงรอบกลางถึงปลาย
ประมาณ 6,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป กำลังที่ได้มาแบบติดมือแต่ควบคุมง่ายและไหลลื่นนุ่มนวลตามสไตล์คุณชายBMW
เสียงคำรามจากปลายท่อแสนจะเป็นผู้ดีที่ได้ยินแล้วไม่อยากเชื่อว่ามันจะแรง ถ้าเปรียบเป็นตัวละครก็เหมาะแล้วที่จะเป็น
เจมส์ บอนด์ และมันไม่สามารถจะเป็นแรมโบ้หรือคนเหล็กได้แน่นอน ฟิลลิ่งเบรกถือว่าไว้ใจได้ถ้าเทียบกับความรู้สึกที่ได้จากรถยี่ห้ออื่นๆ
ในคลาสเดียวกันแถมยังมี ABS มาเป็นตัวเพิ่มความชัวร์ให้อีก แต่ถ้าเทียบกับผู้พี่อย่าง
K1200S ยังถือว่าเป็นรองเพราะรู้สึกว่าแรงกดนิ้วที่เท่ากันกลับได้ระยะการเบรกที่มากกว่า
ช่วงล่างกับระบบ ESA
ทำให้สามารถปรับโหมดการทำงานของกันสะเทือนเพื่อรองรับการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ
ได้ด้วยปลายนิ้วคือ 1)Comfort 2)Normal และ 3)Sport ซึ่งทั้งสามโหมดสามารถเลือกได้อีกว่าเป็นแบบขี่คนเดียวหรือมีคนซ้อน,
มีสัมภาระหรือไม่มีสัมภาระ ซึ่งเหมาะมากกับการขี่เที่ยวซึ่งสภาพภูมิประเทศต่างกัน
อันนี้ประทับใจผมเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วเพราะว่าเวลาขี่เที่ยวบางเส้นทางบางอารมณ์ก็อยากขี่สบายๆ
แบบนุ่มๆเนียนๆ แต่ถ้าอยากมันส์ก็แค่กดปุ่ม (แหม...มันถูกใจชุมพลตรงนี้แหละ) และแน่นอนสำหรับการเทสต์วันนี้ผมเลือกสปอร์ต/ขี่คนเดียว/ไม่มีสัมภาระ
การขับขี่ในสนาม
สำหรับเจ้าตัวนี้คงต้องเปรียบกับรถประเภทสปอร์ตทัวริ่ง
ซึ่งผมถือว่ามันทำได้น่าประทับใจมากในสนามแข่ง เพราะด้วยกันสะเทือนแบบ Duo Lever
และการวางน้ำหนักของตัวรถที่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำทำให้มันสามารถพลิกรถได้ง่ายและเร็วมาก
แถมแบนได้เยอะมากจนเซ็นเซอร์ที่รองเท้าโดนพื้น ยิ่งขี่ยิ่งมันจนพอเริ่มคุ้นเคยในที่สุดก็กลายเป็นการขี่แบบเรซซิ่ง
เมื่อนั้นจะรู้สึกว่ารถออกอาการสไลด์เหมือนเป็นการเตือนสติบอกคนขี่ว่า "เฮ้ย!
ตรูไม่ใช่รถสนามนะเฟ้ย" เออ... ลืมไป เค้าออกแบบเอาไว้ขี่เที่ยวนิ
นี่แหละสปอร์ตทัวริ่งที่ผมต้องการ
"สปอร์ต" พลิกพลิ้วได้อย่างใจสั่ง,
สนุกและมั่นใจกับการเล่นโค้ง "ทัวริ่ง" นุ่มนวล, สามารถดูดซับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้หมด
ทั้งสองอย่างสามารถเปลี่ยนได้เพียงปลายนิ้ว ถ้าคะแนนเต็ม 10 เอาไปเลย 9 ขาดไปอย่างเดียวไม่งั้นคงได้คะแนนเต็มไปแล้ว
...ปุ่มที่กดแล้วบินได้!
****
|