ยักษ์ใหญ่ที่มาพร้อมกับความสบายของค่ายสีเขียวคันนี้ มีมาเพื่อสิงห์มอเตอร์ไซค์ที่ชื่นชอบการเดินทางไกลแบบไม่จำกัดระยะทาง ซึ่งประสบการณ์ในการทดลองครั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณ คุณคเณศ สุทธินรเศรษฐ์ ผู้ที่ได้ครอบครองเจ้า KAWASAKI 1400GTR 2008 คันแรกของเมืองไทยที่เอื้อเฟื้อลูกรักคันใหม่มาให้เราได้สัมผัสกัน เพียงแค่เอ่ยปากว่าอยากลอง พี่ท่านก็ขี่รถมาจอดรอไว้ให้เรานำไปทดลองขี่กันในทันที ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับรถระดับนี้
|
|
ชุดโคมไฟหน้าขนาดใหญ่ ให้แสงสว่างที่กระจ่างชัดสำหรับการเดินทางไกลในเวลาค่ำคืน |
บังโคลนหน้าออกแบบมาให้ป้องกันแกนช๊อคอัพหน้าแบบหัวกลับ ไปในตัว รวมถึงชุดคาลิเปอร์เบรคแบบเรเดียลเม้าท์ สี่พอท/ข้าง และเซ็นเซอร์สำหรับระบบ ABS |
|
|
|
|
ตำแหน่งการวางพักเท้าทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย ทำให้ขับขี่ได้สบาย แต่ขัดใจก็ตรงดีไซน์ของท่อไอเสียแบบเดิมๆ ที่มองยังไง ก็ไม่เข้ากันกับดีไซน์โดยรวมของตัวรถ |
กระเป๋าสัมภาระด้านข้าง ออกแบบมาให้ถอดและใส่ได้ง่ายดาย และอย่าลืมเช็คน้ำหนักการบรรทุกของกระเป๋าแต่ละใบก่อนการเดินทาง |
|
|
|
|
เปิด-ปิด ฝากระเป๋า และปลอดล๊อคออกจากตัวรถ ด้วยกุญแจลูกเดียว |
ท่อไอเสียใบเขื่อง กับดีไซน์ที่ดูยังไงก็แปลกแยกจากดีไซน์โดยรวม |
|
|
|
|
วงล้อแบบสิบก้านเพื่อลดน้ำหนักแต่แข็งแรง พร้อมชุดเบรคหลังที่ใช้จานเบรคแบบริมขอบคลื่น |
ชุดขับเคลื่อนที่ใช้เพลาในการส่งกำลัง ซึ่งทำงานได้เงียบเชียบอย่างน่าเหลือเชื่อ |
|
|
|
|
แผงหม้อน้ำระบายความร้อนขนาดใหญ่ยักษ์ เอกลักษณ์ของคาวาซากิ |
ชุดเรือนไมล์ - วัดรอบ พร้อมจอแสดงผลสารพัดฟังก์ชั่น |
|
|
|
|
มุมมองจากตัวผู้ขับขี่ที่โล่ง สบายตาง่ายต่อการมองเห็นทัศนวิสัยโดยรวม |
ชุดควบคุมด้านแฮนด์ฝั่งซ้าย มีปุ่มปรับระดับแผ่นบังลมหน้ารถ ส่วนปุ่มสีแดงนั่นคือสวิทช์คอนโทรลชุดวิทยุที่ติดตั้งเพิ่มเติม |
|
|
|
|
ชุดควบฝั่งขวา ไม่มีอะไรหวือหวา |
กล่องเก็บของขนาดเล็กบนถังน้ำมันสำหรับใส่ถุงมือหรือของเล็กๆน้อยๆ |
|
|
|
|
ไฟเลี้ยวด้านหน้าดีไซน์กลมกลืน ฝังอยู่บนชุดแฟริ่ง |
ไฟท้ายแบบ LED. และแรคด้านท้ายสำหรับวางสัมภาระเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน |
|
|
|
แฮนเดิ้ลบาร์ทรงสูง ยื่นเข้าหาตัวผู้ขับขี่แบบปรับระดับไม่ได้ แต่ขับขี่สบายในระดับหนึ่ง |
|
|
|
สวิทช์ควบคุมที่เสียบอยู่บนชุดกุญแจ แค่กดและบิดเบาๆ ในขณะใช้งาน |
|
|
|
กรณีล๊อคคอรถ ก็หมุนไปตำแหน่งซ้ายสุดแล้วดึงขึ้น เก็บลูกกุญแจเก็บไว้กับตัว์ |
|
|
|
ชุดเพลาขับและเฟืองท้ายที่ง่ายต่อการใช้งานและดูแลรักษา พร้อมปุ่มปรับช๊อคอัพหลังแบบแมนนวล |
|
|
|
ลืมไปได้เลยถ้าคิดจะเก็บสัมภาระไว้ใต้เบาะ เพราะอัดแน่นไปด้วยสารพัดอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ |
|
|
|
ช๊อคอัพหน้าสามารถปรับตั้งได้สะดวก ตามใจผู้ขับขี่ |
|
|
|
ชุดกุญแจอัจฉริยะ ที่มีลูกกุญแจสำหรับเปิดกระเป๋าสัมภาระเสียบซ่อนอยู่ด้านใน เหมือนกุญแจรถยนต์ |
|
KAWASAKI 1400GTR 2008 จัดอยู่ในประเภทรถที่ออกแบบมาเพื่อใช้ขับขี่เดินทางไกล พรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบายอย่างเต็มรูปแบบ ตามคำจำกัดความที่ประกบคู่มาในโบรชัวร์ว่า " SPORT TOURING WITHOUT COMPROMISE " เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่บนตัวรถรุ่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติแนวทางการออกแบบและสไตล์ของค่ายคาวาซากิที่มีมาตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปี ภายหลังจากที่โมเดลรถระดับใหญ่สุดของค่ายอย่าง ZZR1100 ที่เคยสร้างชื่อเสียงไว้ในช่วงปี 1990-1995 ว่าเป็นรถสปอร์ทพิกัดใหญ่สุดในยุคนั้นที่ทำความเร็วบนถนนได้ทะลุหลัก 300 กม./ชม. ซึ่งในอีกไม่กี่ปีต่อมา สถิตินี้ก็ถูกลบโดย CBR1100XX จากค่ายปีกนก รวมถึงสถิติล่าสุดก่อนสุดท้ายที่ต้องพ่ายแพ้แก่เจ้าเหยี่ยวฮายาบูสะจากค่ายซูซูกิ และถึงแม้ค่ายคาวาซากิจะมีเจ้า ZX12R ออกมา แต่ก็ปรับเปลี่ยนสไตล์ไปเป็นในแนวทรง Sport replica รวมไปถึง ZZR1200 ที่นำเอา ZZR1100 ตัวเก่ามารีดีไซน์ภายนอกใหม่ แต่ใช้เครื่องลูกเก่าขยายซีซี ก็ยังทำได้ไม่ดีพอที่จะกระชากใจนักเล่นรถทั่วโลกให้กลับมานิยมรถจากค่ายนี้อีกครั้ง สรุปแล้วเบ็ดเสร็จ ค่ายคาวาซากิเสียรังวัดให้คู่แข่งไปร่วมยี่สิบปี จนกระทั่งในปี 2006 ถึงเวลาคลอดยักษ์ใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ZZR1400 ที่สร้างความฮือฮาให้นักเล่นรถทั่วโลกด้วยการไต่พิกัดรถสปอร์ทบนถนนที่มีปริมาตรความจุกระบอกสูบสูงสุดถึง 1352 ซีซี มีม้าในคอกถึง 200 ตัวตอนเวลาที่แรมแอร์ทำงานเต็มที่ และถึงแม้ค่ายซูซูกิจะปรับโฉมฮายาบูสะใหม่อีกครั้งในปี 2008 แต่พิกัดซีซีที่ทำออกมา 1340 ซีซี ก็ยังถือว่าเป็นรอง ZZR1400 ซึ่งเครื่องยนต์ของ ZZR1400 ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องพละกำลังที่สามารถผลิตออกมาเมื่ออยู่บนโครงสร้างของรถ Super Sport ได้ถูกนำมาปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่าง รวมไปถึงระบบส่งกำลังที่เปลี่ยนจากขับเคลื่อนด้วยโซ่มาเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยเพลา และออกแบบเฟรมและอุปกรณ์รวมถึงหน้าตารถใหม่ทั้งหมด จนออกมาเป็น 1400GTR หรือที่รู้จักอีกชื่อนึงในตลาดอเมริกาว่า CONCOURS 14 นั่นเอง
แฝดพี่แฝดน้องกับ ZX-14
คาวาซากิ GTR1400 นี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์กลไก หรือ ระบบต่างๆ โดยพื้นฐานแล้ว มันก็คือฝาแฝดของ ZX-14 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกมาเพื่อปราบเจ้าเหยี่ยวอหังการ์ฮายาบูสะ ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมกำลังม้าที่ซ่อนอยู่ในฝาเครื่องนั้นจะเต็มเปี่ยมขนาดไหน แต่สิ่งที่น่าสนใจของ GTR1400 นั้น มามากกว่าเครื่องยนต์อันทรงพลังที่กล่าวมา
GTR1400 (หรือชื่อเล่นอีกชื่อคือ CONCOURS)
ได้ถูกออกแบบโดยเน้นเป็นพิเศษให้การขับขี่และการทรงตัวนิ่งที่สุด เงื่อนไขในการออกแบบ 1400GTR ตั้งอยู่บนโจทย์ที่ต้องรองรับการใช้งานในการขับขี่ทางไกลด้วยความสะดวกสบาย หลายสิ่งหลายอย่างที่มีอยู่บนตัวรถรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์หลักข้อนี้ได้อย่างดีทีเดียว โครงสร้างเฟรมอลูมิเนียมแบบ monocoque ของฝาแฝด ZX-14 นั้น ได้ถูกเสริมให้มีความหนาและความแข็งแรงมากขึ้น และยืดให้ยาวขึ้นอีกนิดเพื่อรองรับกับผู้โดยสาร (คนซ้อน) และกระเป๋าท้าย โครงสร้างเฟรมทั้งหมดนี้ โดยคร่าวๆ จะมีความแข็งแรงป้องกันการบิดตัวของเฟรมเพิ่มมาจาก ZX-14 อีกถึง 20% นอกจากนี้ ยังออกแบบให้ช่วงฐานล้อมีความยาวมากขึ้นไปอีกรวมทั้งสิ้น 60 มม. โดยเพิ่มความยาวของสวิงอาร์มออกไป ทำให้แกนล้อหลังออกไปจากเดิมอีก 30 มม. ในขณะที่แกนล้อหน้าก็ขยับออกไปข้างหน้าอีก 30 มม. เช่นกัน ผลที่ได้ก็คือทำให้รถมีการทรงตัวที่นิ่งสนิทและลดอาการล้อหน้ายกได้มากขึ้น และในส่วนของระบบขับเคลื่อนนั้น ว่า TETRA-LEVER CHAFT DRIVE หรือ ระบบเพลาใหม่ของ GTR1400 นั้น ได้ออกแบบมาให้ลดอาการฉุดกระชากในระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลง ทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้นไปอีก
โดยส่วนใหญ่แล้ว บิ๊กไบค์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Sport touring มักจะมีความยุ่งยากท้าทายในการออกแบบระบบช่วงล่างซับแรงสะเทือนหรือโช๊คอัพนั่นเองว่าจะให้ระดับค่าความแข็งอยู่ในประเภทไหนดี ระหว่างไม่ต้องแข็งมากแต่ให้สบายๆ ในการเดินทางไกลๆ กับ แข็งๆ แบบสปอร์ตเพื่อให้การเข้าโค้งทำได้ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับรถประเภทนี้จากค่ายอื่น โดยเฉพาะ BMW K1200GT ที่สามารถปรับค่าความแข็งของระบบช่วงล่างด้วยไฟฟ้าซึ่งสามารถปรับตั้งอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วเท่านั้น นี่อาจจะเป็นอีกข้อเปรียบเทียบสำหรับ GTR1400 เพราะไม่มีระบบปรับค่าความแข็งของโช๊คอัพแบบไฟฟ้ามาให้
น้ำหนักตัวก่อนเติมของเหลวทั้งหมดนั้น GTR 1400 มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 275 กก. หรือที่ 606 ปอนด์ (สำหรับรุ่น ABS คือ 280 กก.) แต่นั่นไมได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดในการควบคุมรถโดยเฉพาะการพลิกรถเข้าโค้ง การวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ เช่นที่พักเท้า หรือ ขาตั้งคู่นั้น ก็อยู่ในตำแหน่งที่ดี ที่สามารถเข้าโค้งได้แทบไม่แตกต่างไปจาก Zx-14 เลยทีเดียว แน่นอนว่ารถสปอร์ตแท้ๆ นั้นถูกออกแบบมาให้สามารถเข้าโค้งได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วกว่า แต่สิ่งที่สปอร์ตไบค์ทั้งหลายไม่มีก็คือความสะดวกสบายที่ GTR1400 นั้นมีให้อย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนั้นแล้ว GTR1400 ยังให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่มั่นใจกว่าในการทรงตัว ไม่มีอาการหวิวๆ ให้รู้สึกแต่อย่างใด
การออกแบบสรีระของ GTR1400
คอนเซ็ปท์โดยรวมก็เพื่อให้การขับขี่ท่องเที่ยวเป็นระยะทางไกลๆ นั้น สะดวกสบาย ดังนั้น แน่นอนว่า จะต้องออกแบบได้ตามหลักสรีระศาสตร์ หรือ ergonomics โดยเริ่มตั้งแต่แฮนด์บาร์ที่สูงขึ้น 150 มม. และ ยืดเข้าหาตัวผู้ขับขี่อีก 96 มม. ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความสะดวกสบายและยังคงความเป็นสปอร์ตในการขับขี่ นอกจากนี้, ยังออกแบบให้เบาะผู้ขับขี่สูงขึ้น15 มม. แต่ที่พักเท้านั้นต่ำลง 30 มม. และ ยื่นไปข้างหน้าอีก 30 มม. ทำให้ท่านั่งขับขี่เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติไม่เกิดความเมื่อยล้าเมื่อต้องขับขี่เป็นระยะทางไกลๆ นานๆ นั่นเอง นอกจากจะออกแบบให้ผู้ขับขี่เกิดความสะดวกสบายแล้ว สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันก็คือความสะดวกสบายของผู้โดยสาร แน่นอน, เบาะคนซ้อนที่ถูกปรับปรุงวัสดุโฟมภายในให้นิ่มขึ้น
กับขุมพลัง 1,352 ซีซี
เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ที่มาพร้อมกับระบบวาล์วแปรผันตามสมัยนิยม ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังม้าออกมาได้อย่างเต็มสมรรถนะ โดยมีเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับรอบการทำงานของเครื่องยนต์กับตำแหน่งของคันเร่ง และยังถูกปรับปรุงในส่วนของหัวฉีดใหม่ที่มีขนาดของหัวฉีดที่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้กำลังเครื่องยนต์ในรอบเครื่องต่ำถึงปานกลางนั้นมีกำลังดีขึ้นและต่อเนื่องขึ้น ส่งผลให้การขับขี่เป็นไปด้วยความสะดวก ไม่ต้องพะวงคอยเปลียนเกียร์บ่อยเพราะกำลังฉุดที่สูงมากในแต่ละช่วงเกียร์นั่นเอง สิ่งที่เปลี่ยนไปจาก ZX-14 เพิ่มเติมในส่วนเครื่องยนต์นี้ก็คือ ท่อไอเสียเดี่ยวแทนที่ท่อคู่ของ ZX-14 กับ พัดลมระบายความร้อนหม้อน้ำแบบคู่แทนที่แบบเดี่ยวของ ZX-14 ขนาดของเครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบให้เล็กกระทัดรัด เสื้อสูบที่ทำจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา มีระบบระบายความร้อนที่สามารถแก้อาหารตัวร้อนได้อย่างชะงัด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถค่ายนี้มานมนาน ที่จะเน้นการใช้หม้อน้ำขนาดใหญ่และแผงออยล์คูลเลอร์ระบายความร้อนน้ำมันเครื่องขนาดบิ๊กบึ้มกว่ารถคลาสเดียวกันแต่ต่างค่ายผลิต ในตัวเครื่องยนต์เองมีการออกแบบห้องเครื่องและระบบเกียร์ที่สามารถลดการสั่นสะเทือนลงไปได้มาก ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบเรียบ นุ่มนวลชวนบิดคันเร่งต่อ ช่องแรมแอร์ที่ออกแบบมาให้สามารถอัดอากาศเข้าสู่แอร์บ๊อกซ์ได้อย่างราบรื่น เพื่อสามารถสร้างไอดีไว้คอยป้อนม้าที่คึกคักขณะใช้รอบการทำงานที่สูง ส่งผลให้ม้าอ้วนท้วนแต่ละตัวส่งกำลังลงสู่พื้นได้อย่างว่องไว ระบบหัวฉีดอิเลคโทรนิคส์แบบดิจิตอลที่ควบคุมโดยกล่อง ECU แบบ 32 บิท ซึ่งคอยควบคุมการจ่ายน้ำมันในห้องไอดีที่ทำงานแปรผันตามจังหวะการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อได้อย่างแม่นยำ รวมถึงควบคุมจังหวะการจุดระเบิดด้วยระบบดิจิตอล ทำให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ และประหยัดน้ำมัน จนได้กำลังออกมาสูงสุด และคายค่ามลพิษไอเสียออกมาผ่านตามเกณฑ์ EU Emission ซึ่งแม้จะสตาร์ทเครื่องยนต์ในอุณหภฒิต่ำ กล่อง ECU ก็ยังมีระบบคอนโทรลการทำงานของรอบเครื่องยนต์ในการวอร์มอัพเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ เพื่อรอรับการใช้งานจริงในเวลาที่สั้นที่สุด โดยไม่ต้องมาลุ้นรอบเครื่องขณะเครื่องเย็นเหมือนรถรุ่นอื่นๆ
โครงสร้าง
หรือเฟรมของตัวรถที่ทำมาจากอลูมิเนียมทรงกล่อง โค้งรับทรวดทรงของเครื่องยนต์จนถึงจุดยึดสวิงอาร์มที่มีระบบขับเคลื่อนแบบเพลาฝังอยู่ มีน้ำหนักที่เบาแต่แข็งแรงเป็นพิเศษ ซึ่งตำแหน่งการวางเครื่องยนต์บนเฟรมที่ค่อนไปทางข้างหน้า ส่งผลให้สมดุลย์น้ำหนักของตัวรถบนระยะฐานล้อเป็นไปด้วยความมั่นคง สามารถรองรับพละกำลังมหาศาลของเครื่องยนต์ที่กำลังทำงานในรอบสูง หรือแรงดึง แรงบิดขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ดี แต่ยังคงควบคุมตัวรถได้ง่ายและปลอดภัย
ระบบคลัทช์แบบไอโดรลิคส์
ใช้มาสเตอร์ปั๊มแบบ Radial ส่งผลให้สามารถถ่ายทอดแรงกดได้ด้วยความนุ่มนวล เบาแรง รวมไปถึงการใช้มาสเตอร์ปั๊มเบรคหน้าทรง Radial ที่ทำงานกับคาลิเปอร์แบบ Radial mount 4 พอท ให้ประสิทธิภาพการหยุดกำลังอันทรงพลังโดยใช้แค่สองนิ้วในการออกแรง โดยที่ระบบเบรคของ 1400GTR จะมีมาให้เลือกสองเวอร์ชั่น คือแบบไม่มี และมีระบบ ABS. แต่ตัวที่เราได้ลองขี่ครั้งนี้เป็นเวอร์ชั่นที่มี ABS ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ผ่านเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ที่จานเบรค ส่งค่าการหมุน - หยุดไปยังระบบไฟฟ้าควบคุมแรงดันน้ำมันเบรคที่ไหลลงสู่คาลิเปอร์แบบเต็มระบบ เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ BMW นั่นเอง
ชุดแฟริ่งรอบคัน
ออกแบบให้เน้นการรีดลมหรือการไหลผ่านของอากาศขณะใช้งานให้เป็นไปด้วยความราบรื่น ลดแรงปะทะของอากาศสู่ตัวผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายให้น้อยที่สุด ชิวด์บังลมหน้าแบบปรับระดับความสูงแบบไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มากับตัวรถโดยควบคุมง่ายๆ ผ่านปุ่มควบคุมที่ติดตั้งที่แฮนด์ จากการขับขี่ทดสอบ, ชิวด์บังลมหน้าขณะปรับให้อยู่ที่ระดับตำแหน่งต่ำสุดนั้น ยังมีลมบางส่วนมาปะทะอกช่วงบน และเมื่อลองปรับระดับความสูงให้อยู่ในระดับสูงสุดก็สามารถกันลมที่มาปะทะหมวกกันน็อคได้ แต่ สำหรับผู้ขับขี่ที่มีความสูงเกินกว่า 180 ซม. ชิวด์แต่งแบบสูงกว่ารุ่นเดิมติดรถก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเดินทางไกลๆ และจุดด้อยของ GTR1400 นั้น เห็นจะมีแต่ความร้อนที่ระบายออกมาจากเครื่องยนต์ที่มาปะทะหน้าแข้ง หลังจากที่มีการใช้งานเครื่องยนต์เดินทางเป็นระยะไกลๆ แม้ว่าจะมีการติดตั้งแผ่นบังไอความร้อนมาให้บริเวณขาเพื่อลดลมร้อนจากเครื่องยนต์ที่จะมาปะทะหน้าแข้งแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอกระเป๋าสัมภาระด้านข้างที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานถูกออกแบบให้ลู่ลมแต่มีเส้นนูนที่ล้อรับกับดีไซน์ของช่องไหลออกของอากาศด้านข้างตัวรถ โดยใช้กุญแจเพียงแค่ดอกเดียวที่ล๊อคทั้งฝาปิดและจุดยึดเกี่ยวบนตัวรถ และยังมีกล่องเก็บของเล็กๆ ที่อยู่บนถังน้ำมันไว้สำหรับใส่โทรศัพท์ กุญแจ หรือถุงมือ รวมไปถึงช่องเสียบปลั๊กชาร์ทอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่ใต้คอนโซลหน้ารถที่มีมาให้จากโรงงาน นับว่าเอาใจผู้ขับขี่กันสุดๆเลยทีเดียว
ชุดแผงควบคุมและจอแสดงผลแบบ LCD.
ด้านหน้ารถ ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย มองเห็นค่าที่แสดงได้ชัดเจน ซึ่งฟังก์ชั่นที่แสดงผลนับว่าหลากหลายมากมายทีเดียว มีค่าการแสดงผลที่ถอดแบบมาจากรถยนต์ในสไตล์เดียวกับที่พบได้ใน BMW K1200GT ไม่ว่าจะเป็นอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ระยะทางที่จะสามารถเดินทางต่อไปได้จากปริมาณน้ำมันที่เหลือในถัง และตำแหน่งเกียร์ รวมไปถึงการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่มีมาให้จากโรงงาน ก็คืออุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจวัดระดับแรงดันลมยางซึ่งอยู่ที่ด้านในกระทะล้อ ในตำแหน่งของขั้วเติมลมยาง ซึ่งจะส่งค่าการวัดเป็นคลื่นไฟฟ้าไปที่กล่อง ECU บนตัวรถ และแสดงผลเป็นตัวเลขของระดับแรงดันลมยางบนชุดจอแสดงผลหน้ารถ คอนเซ็ปท์การขับขี่ที่สะดวกสบายและการท่องเที่ยวนั้น ยังรวมไปถึงกระจกมองข้างแบบพับได้ที่ใหญ่สะใจ มองเห็นทัศนวิสัยด้านหลัง-ข้างผู้ขับขี่ได้แจ่มชัด
ระบบกุญแจอัจฉริยะ KI-PASS (Kawasaki’s Intelligent Proximity Activation Start System)
ที่ควบคุมการทำงานด้วยคลื่นไร้สาย โดยที่ชุดลูกกุญแจจะมีชิพระบุ ID. Code ในทันทีที่คุณนำชุดลูกกุญแจเข้าใกล้ตัวรถ ในรัศมี 1.5 เมตร ซึ่งอาจจะใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงหรือเสื้อ ระบบอิเลคโทรนิคส์จะส่งค่าการสแกนตัวลูกกุญแจไปยังกล่อง ECU. ทำให้รถอยู่ในสถานะที่พร้อมที่จะทำงาน และถ้าเราต้องการสตาร์ทเครื่องยนต์ ก็แค่กดลงไปบนปุ่มบิดที่เบ้ากุญแจ หน้าจอแสดงผลจะแสดงว่าพร้อมที่จะทำงาน เราถึงจะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ต่อไป โดยที่ตัวปุ่มบิดเอง สามารถบิดล๊อคคอรถและดึงปุ่มบิดออกมาเก็บไว้กับตัวผู้ขับขี่ และในกรณีที่เราขับขี่รถอยู่ โดยที่ชุดลูกกุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงหรือเสื้อ ในทันทีที่เราจอดรถ แล้วเดินออกไปนอกรัศมีทำการของTransponder ระบบอิเลคโทรนิคส์จะทำเริ่มหน่วงเวลาและตัดการทำงานของระบบไฟฟ้าบนตัวรถ ในกรณีที่ลูกค้าเป็นคนที่ชอบลืมคาลูกกุญแจเสียบไว้ที่รถ ระบบนี้จะช่วยป้องกันรถท่านจากการโจรกรรมได้ในระดับหนึ่ง รวมไปถึงช่วยในเรื่องความสะดวกเพราะไม่จำเป็นต้องควักลูกกุญแจออกมาไขรถก่อนการใช้งาน
ในปี 2008 นี้ คาวาซากิ ได้เปิดตัว GTR1400 โฉมใหม่
ที่สร้างความฮือฮาให้กับตลาดและบรรดาค่ายผู้ผลิตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ยามาฮ่า FJR1300, ฮอนด้า ST1300, หรือ แม้แต่ BMW K1200GT เนื่องจากราคาเปิดตัวที่ไม่สูงมากขณะที่กำลังเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มานั้นครบครัน สาเหตุก็เพราะการใช้ชิ้นส่วนต่างๆ ร่วมกันกับรุ่น ZX-14 ทำให้สามารถลดต้นทุนในการผลิตลงไปได้มาก
อาจจะกล่าวได้ว่า GTR1400 นี้ เป็นสปอร์ตไบค์รุ่นใหญ่ที่ติดกระเป๋าสัมภาระสำหรับเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ ก็ไม่ผิดนัก ซึ่งนั่นคือจุดประสงค์เริ่มต้นของการออกแบบที่รอให้คุณพิสูจน์ ด้วยตัวคุณเอง
Next Page -> |