Register LOGIN Forget password ?
Webboard :: Travel :: 00010112
PAGE 1 OF 2
GO TO PAGE
อธิปไตยของคนไท...ที่ดอยไตแลง # 2
ขอขอบคุณสำหรับทุกๆเสียงโหวต เพื่อเป็นกำลังใจในการดั้นด้นไปเสาะแสวงหาบางมุมของโลกเบี้ยวๆใบนี้มานำเสนอให้ทุกคนได้ชมกัน...

หมดวันแรกของการเดินทางเข้าสู่พื้นที่นี้ด้วยการแทรกกายเข้าใต้ถุงนอนอุ่นๆซึ่งเหน็บติดไปด้วยจากบ้าน นอนฟังเสียงฝนกระหน่ำบนยอดดอยท่ามกลางความมืดมิด มืดชนิดที่แบมือแล้วมองไม่เห็นเค้าโครงมือของตัวเองนั่นแหละครับ เหตุเพราะในพื้นที่นี้ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง จะมีก็แต่กระแสไฟที่ชาร์ทใส่แบตเตอรี่จากแผงโซล่าเซลล์ที่ติดอยู่บนหลังคาบ้าน ซึ่งก็ต้องจำกัดการใช้ไฟฟ้า เวลา 3 ทุ่มทุกอย่างในหมู่บ้านนี้จะเงียบและมืดสนิท (ช่วงนั้นกำลังติดละคร "ชิงชัง" ทางช่อง 5 ซะด้วย)

ผงกหัวตื่นมาตอนเช้ามืด ในเวลาประมาณตีห้า เพราะหูแว่วได้ยินเสียงคนวิ่งหน้าที่พัก จึงงัวเงียคว้าแจ๊คเก็ตเดินออกไปหน้าบ้าน พบเจ้าของบ้านที่เรามาอาศัยพักนอนกำลังแต่งตัวในชุดพราง ถามไถ่ไปมาเห็นว่ามีการประชุมกำลังพลในตอนเช้า เพื่อออกกำลัง...

คว้าไฟฉายเดินตามออกไปในทันที เดินงมในความสว่างอันน้อยนิดของแสงตะวันที่เลือนลางจากฝั่งขอบฟ้าประเทศไทย ตัดตรงขึ้นสู่ยอดดอยตามถนนสายหลัก ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดยอดกลางลาน บรรดาท่านทหารก็เลิกแถว แยกย้ายกลับที่พักส่วนตัว ...แต่ผมก็ยังเดินต่อไป
เสียวเหมือนกัน เพราะเราก็เดินเป็นเงาตะคุ่มๆสวนทางเข้าไป แจ๊คเก็ตลายพรางดิจิตอลที่ใส่ไปก็สีไม่เข้าพวกซะอีก
Share |
banana    time: 2009-11-04 05:42:27   แจ้งลบกระทู้

ความเห็นที่ #1
เสียงไก่ขันทอดรับกันตลอดทั้งทิวยอดดอย ปลุกคนในบ้านให้รับรู้ถึงแสงแห่งวันใหม่ที่ย่างกรายเข้ามา แต่ก็ยังช้ากว่าหนูน้อยคนนี้ ที่ตั้งอกตั้งใจกวาดใบไม้ที่ลมพายุสะบัดต้นให้ร่วงหล่นมาเมื่อคืน ท่ามกลางแสงสลัวๆ
banana  2009-11-04 05:43:13      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #2
สายฝนที่กระหน่ำมาเมื่อคืน เปลี่ยนสภาพถนนสายหลักให้น่าตื่นเต้นยามที่เดินลงด้านล่างของเนิน มองเห็นร่องโคลนทอดหายไปในสายหมอก
banana  2009-11-04 05:43:42      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #3
กว่าจะเดินกลับมาถึงที่พักก็เริ่มสว่าง แต่ก็มองเห็นไปไม่ถึงไหน เพราะสายหมอกปกคลุมทั่วไปหมด
banana  2009-11-04 05:44:40      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #4
จัดแจงแปรงฟัน อาบน้ำ ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ แล้วแบกเป้คนละใบลัดเลาะลงดอยไปสู่โรงเรียนอีกครั้ง
banana  2009-11-04 05:45:02      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #5
ในเป้มีอาหารเช้าแบบง่ายๆที่หอบหิ้วมาจากฝั่งไทย เพื่อมาวางบนโต๊ะที่อยู่เหนือทะเลหมอกในที่นี้
banana  2009-11-04 05:45:20      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #6
ทิวทัศน์หลังโต๊ะอาหาร (ชั่วคราว)
banana  2009-11-04 08:19:49      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #7
หมาน้อยนอนขดตัวกลม เพราะอุณหภูมิกลางแจ้งตอนนั้นอยู่ที่ยี่สิบต้นๆ
banana  2009-11-04 08:20:35      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #8
ใกล้ถึงเวลาเริ่มงานของหนูดาว คุณครูใหญ่มาเชิญให้ไปจัดการมื้อเช้าที่เค้าจัดเตรียม ซึ่งก็เป็นอาการพื้นถิ่น มีเส้นขนมจีนอยู่ข้างใต้ โรยกะหล่ำปลีซอย ราดด้วยถั่วเหลืองบดเป็นครีม มีถั่วลิสงคั่วป่นโรยมานิดนึง และต้องทานกับซอสพริก

รสชาดจืดๆ แต่น่าสนใจตรงที่มันร้อนๆ ควันลอยกรุ่น เหมาะกับบรรยากาศสลัวๆในสายหมอกดีครับ
banana  2009-11-04 08:23:23      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #9
เช้าวันนี้น้องที่เป็นคุณครูคนนึงอาสาทำซาละเปา มาถึงก้จัดการเทแป้ง ใส่ส่วนผสม แล้วลงมือนวด

น้องคนนี้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงดีเยี่ยม เพราะเคยลงมาเรียนในเชียงใหม่อยู่พักนึง แล้วเลือกที่จะกลับขึ้นไปเป็นครูอยู่บนดอย
banana  2009-11-04 08:25:32      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #10
อิ่มหมีพีมันแบบตึงหนังท้องสุดๆ ก้ได้เวลาเดินย้ายพุงสำรวจโลกต่อไป...

ไต่ขึ้นมาที่กลางลานเอนกประสงค์กลางหมู่บ้าน ซึ่งกลายเป็นสนามเด็กเล่นของบรรดาเด็กๆ
banana  2009-11-04 08:27:41      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #11
ฟ้ายังไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ จึงวกกลับลงมาที่โรงเรียน เจอบรรดาน้องๆผู้ชายที่เป็นนักเรียนช่วยกันประกอบกระดานดำเข้าสู่ห้องเรียนที่เพิ่งสร้างเสร็จ

คาดว่าคงประกอบชิ้นงานตอนเนื้อไม้ยังสดอยู่ พอมันเริ่มแห้ง จึงเริ่มมีรอยช่องว่างระหว่างชิ้น...
banana  2009-11-04 08:30:30      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #12
สองวันก่อนยังเป็นผนังอาคารกระดำหระด่างจากคราบปูนบนผนังอิฐ แต่วันนี้ทาสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว

แรงงานที่มาช่วยทำ ก็เป็นคนในหมู่บ้าน ซึ่งใครครบ 32 ก็คงไม่พ้นจะต้องเป็นทหาร ผลัเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกไปแนวหน้า ส่วนคนที่ตะลุยแนวหน้าไม่ไหว ก็ช่วยงานอยู่ในหมู่บ้าน

ขาของชายผู้นี้ คงเจอกับระเบิดอย่างจัง !
banana  2009-11-04 08:33:59      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #13
จังหวะเดินขึ้นดอยลูกที่อยู่ถัดไปจากโรงเรียน ก็เจอหนูน้อยตาแป๋วสองคนนี้ เดินซุ่มอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่

จัดการยืมอาวุธสังหารในมือของน้องทดลองวิถีไปเม็ดนึง !
banana  2009-11-04 08:42:35      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #14
เดินเก็บภาพบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยๆ
banana  2009-11-04 08:43:26      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #15
ย่ำน่องจนถึงยอดดอยอีกลูกนึง มองกลับไปดอยลูกที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียน ซึ่งสายหมอกไหลหายไปบนท้องฟ้า กลายเป็นเมฆฝนเคลื่อนเข้ามาแทนที่
banana  2009-11-04 08:48:57      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #16
เดินขึ้นไปบนยอดเขา เจอลานกว้างอันเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของสองนักรบผู้ยิ่งใหญ่ของชาวไทใหญ่

พระเจ้าเสือข่านฟ้า (พ.ศ. 1834 - 1907)

เจ้าหลวงเสือข่านฟ้า เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยใหญ่ เพราะพระองค์สามารถรวบรวมรัฐไทยใหญ่ที่มีเจ้าฟ้าปกครอง และไม่ขึ้นตรงต่อกัน ให้มาเป็นอาณาจักรเดียวกัน ภายใต้ชื่อว่าอาณาจักรเมืองมาวหลวง ในสมัยพระองค์นั้นทำให้อาณาจักรเมืองมาวหลวงมีอำนาจเกรียงไกรและมีความเจริญรุ่งเรืองมาก อาณา จักรเมืองมาวหลวงตั้งอยู่ได้นานถึง 105 ปี (พ.ศ.1887 - 1992 หรือ ค.ศ.1344 - 1449)
แต่ก่อนที่เมืองมาวหลวงจะขึ้นมาเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นั้น เมืองมาวหลวงเป็นรัฐเจ้าฟ้าเฉกเช่นเดียวกับรัฐเจ้าฟ้าอื่น ๆ เจ้าหลวงเสือข่านฟ้า เป็นโอรสเจ้าหลวงขุนผางคำ เจ้าฟ้าเมืองมาว กับพระนางอ่อน โดยมีพี่น้องร่วมอุทรกัน 3 องค์ คือ
1. ขุนอ้ายงำเมือง
2. ขุนยี่ข่างคำ (เสือข่านฟ้า)
3. ขุนสามหลวงฟ้า

ขึ้นครองราชย์ และย้ายเมืองหลวง (พ.ศ.1854 หรือ ค.ศ.1311)
หลังจากที่พระราชบิดาสวรรคตแล้ว เสนาอำมาตย์ได้ยกขุนยี่ข่างคำเป็นเจ้าฟ้าปกครองเมืองมาวต่อมา โดยเริ่มขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.1854 หรือ ค.ศ.1311 เมื่อพระชนมายุได้ 21 ปี เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ มีพระนามว่าเสือข่านฟ้า และทรงสร้างเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองแจ้ไฮ่ และในอีก 2 ปีต่อมาก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงแจ้ล้านอีก เพราะเป็นพื้นที่ ชัยภูมิทางยุทธศาสตร์

ภารกิจการรวบรวมรัฐไทยใหญ่ให้เป็นหนึ่งเดียว
หลังจากที่ได้ทรงย้ายเมืองหลวงแล้ว พระองค์จึงดำริที่จะรวบรวมรัฐชนเผ่าไต (ไท) ซึ่งตั้งเมืองอยู่กระ จัดกระจายกันไปในพื้นที่ต่าง ๆ โดยไม่ขึ้นตรงต่อกัน ให้มาเป็นรัฐเดียวกัน ดังนั้น พระองค์จึงทรงเริ่มออกศึก เพื่อรวบรวมรัฐไต (ไท) ให้เป็นเอกภาพ การออกศึกเพื่อรวบรวมรัฐไต (ไท) ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 6 ครั้งใหญ่ ๆ คือ

ครั้งที่หนึ่ง รวบรวมอาณาจักรแสนหวี เวียงแสนแจ้ (ปี พ.ศ.1857 หรือ ค.ศ.1314)
พระองค์ได้ส่งสาสน์ไปยังเจ้าท้าวน้อยแข่ ผู้ครองอาณาจักรแสนหวี เวียงแสนแจ้ เพื่อปรึกษาหารือใน เรื่องการรวมรัฐ แต่เจ้าท้ายน้อยแข่มิทรงยอมรับ และไม่มาปรึกษาหารือเพื่อการดังกล่าวด้วย เป็นเหตุให้เจ้าหลวงเสือข่านฟ้าพร้อมด้วยเจ้าสามหลวงฟ้า พระอนุชา ยกทัพไปตีเวียงแสนแจ้ จนเป็นเวียงแสนแจ้ได้รับความเสียชาวเมืองจึงขอร้องให้เจ้าท้าวน้อยแข่ยอมมอบตัวให้แก่เจ้าหลวงเสือข่านฟ้า อาณาจักรแสนหวีเวียงแสน แจ้ได้รวมเข้าในเมืองมาวหลวงมาตั้งแต่นั้นมา

ครั้งที่สอง รวบรวมเวียงจุนโก เมืองมีด และเชียงดาว (ปี พ.ศ.1858 หรือ ค.ศ.1315)
เจ้าหลวงเสือข่านฟ้าได้ทรงส่งสาสน์ไปยังเวียงจุนโก เมืองมีด และเชียงดาว เพื่อเชื้อเชิญเจ้าฟ้าผู้ปก ครองเมือง มายังเวียงแจ้ล้าน ซึ่งผู้ปกครองเมืองดังกล่าวในสมัยนั้น คือ เจ้าไตขืน เจ้าไตไก่ เจ้าไตเต่า เจ้าไตแตง และขุนสามอ่อน ไม่ยอมปฏิบัติตาม และยังได้จับราชทูต 7 คนประหาร โดยรอดชีวิตมาได้ 3 คน เท่านั้นยังไม่พอ ซ้ำยังได้ส่งทหารไปเผาทำลายบ้านเมืองทางใต้ของเมืองมาวอีก
เมื่อเป็นดังนั้น ก็ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ ท้ายสุด ชาวเมืองขอร้องให้เจ้าไตขืนยอมแพ้ ชาวเมือง ก็ยอมสวามิภักดิ์ แม่ทัพนายกองจึงจับเจ้าไตขืนมอบให้เจ้าหลวงเสือข่านฟ้า และในปีต่อมาก็ได้เข้า ยึดหัวเมือง ใหญ่ทางตอนใต้เมืองมาว อันได้แก่ ยองห้วย จ๋ามกา เมืองปาย และเมื่องอื่น ๆ แทบนั้น

ครั้งที่สาม รวบรวมหัวเมืองไตฝ่ายเหนือ (ยูนนาน) (ปี พ.ศ.1860 หรือ ค.ศ.1317)
เจ้าหลวงเสือข่านฟ้าได้ยกทัพใหญ่ขึ้นเหนือไปยังยูนนาน เจ้าเมืองแสหอตู้แห่งยูนานจึงได้ออกมาเจร จา ความเมือง เพื่อมิให้เกิดการสงคราม และได้มอบหัวเมืองทั้ง 4 ให้คือ เมืองแส เมืองหย่งชาง เมืองหมูอาน เมืองปูขว้าน แล้วพระองค์ก็เดินทางกลับเมืองมาว

ครั้งที่สี่ รวบรวมหัวเมืองไตตะวันออก (ปี พ.ศ.1860 หรือ ค.ศ.1317)
หลังจากที่กลับจากยูนนาน เจ้าหลวงเสือข่านฟ้าก็ทรงยกทัพไปทางทิศตะวันออก เพื่อรวบรวมรัฐชน เผ่าไตในทิศตะวันออก และทรงยึดหัวเมือง ไตตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย เมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองเชียงตุง ลำพูน และละกอน (ลำปาง)

ครั้งที่ห้า ยกทัพไปทิศตะวันตกรวบรวมเมืองเวสาลี (อินเดีย) (ปี พ.ศ.1862 หรือ ค.ศ.1319)
เจ้าเสือข่านฟ้าพร้อมด้วยพระอนุชาคือเข้าสามหลวงฟ้า และแม่ทัพ 3 คน คือ ฟ้าหลวงเท้าฟ้าหล่อ ฟ้าหลวงเท้าเสือเย็น ฟ้าหลวงท้าวหาญก่าย ยกทัพไปทางทิศตะวันตกตีเมืองเวสาลี หรือแคว้นอัสสัม และให้พระอนุชาครองเมือง ณ ที่นั้น

ครั้งที่หก ยกทัพไปทางทิศใต้ (พม่า) (ปี พ.ศ.1905 หรือ ค.ศ.1362)
เจ้าเสือข่านฟ้าพร้อมด้วยพระโอรส คือ เจ้าชายเปี่ยมฟ้า และแม่ทัพ 3 คน คือ ฟ้าหลวงเท้าฟ้าหล่อ ฟ้าหลวงเท้าเสือเย็น ฟ้าหลวงท้าวหาญก่าย ยกทัพไปทางทิศตะวันตกตีเมืองตะโก้ง เมืองสะแกง และหัวเมือง พม่าอื่น ๆ และสามารถยึดได้ทั้งหมดปี พ.ศ.1905 หรือ ค.ศ.1362

เจ้าหลวงเสือข่านฟ้า ทรงทำให้รัฐไทยใหญ่ต่าง ๆ เข้ามารวมเป็นอาณาจักรเดียวกันที่มีอาณาเขตกว้างขวาง และเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ได้ทรงย้ายไปสร้างเมืองใหม่ที่ทุ่งปางหมากอู๋ เรียกว่าเวียงท่าสบอู๋ และทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่นในปี พ.ศ.1907 หรือ ค.ศ.1364
banana  2009-11-04 09:41:14      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #17
เจ้ากอนเจิง (พ.ศ. 2469 - 2534) รู้จักกันทั่วไปในนาม โหม่เฮิง หรือ โมเฮง เจ้าแขนเดียว

กำเนิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2569 ที่หมู่บ้านทะเนาะ ตำบลล่ายสาก อยู่ในพื้นที่การปกครองของเจ้าฟ้าเมืองหยองห้วย สหพันธรัฐรัฐฉาน (รัฐอารักขาของอังกฤษในสมัยนั้น) บิดาชื่อนายจองโถ้ มารดาชื่อนางจองฉุ่ง มีพี่น้องรวม 12 คน และเป็นคนที่ 3
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 - 2488) ได้ต่อสู้กับกองกำลังทหารญี่ปุ่นที่รุกรานเข้าสู่รัฐฉาน ภายใต้การนำของเจ้าทุนเหย่น (เจ้าฟ้าแขนเดียวแห่งเมืองหนองบอน)

2475 : เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ต่อสู้กับกองทัพพม่าที่ขยายอิทธิพลเข้ายึดครองรัฐฉาน
2499 : (วันที่ 22 มิถุนายน) ประกาศแยกตัวออก และต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับนโยบายการปฏิวัติที่ดินของพรรคฯ ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกของประชาชน
2502 : เข้าร่วมกับกองกำลังหนุ่มศึกหาญ ภายใต้การนำของเจ้าน้อยซอหยั่นต๊ะ และสละแขนข้างซ้ายในการสู้รบกับทหารพม่า ที่บ้านห้วยอ้อ อำเภอเมืองโต๋น จังหวัดเมืองสาด
2504 : ร่วมก่อตั้งกองทัพแนวร่วมสามัคคีรัฐฉาน (SNUF)
2507 : ร่วมก่อตั้งกองทัพรัฐฉาน
2512 : ก่อตั้งกองทัพสหปฏิวัติไทใหญ่ (SURA)
2526 : เรียกร้องความปรองดองในชาติ
2527 : ร่วมก่อตั้งสภาปฏิวัติรัฐฉาน และกองทัพปฏิวัติรัฐฉาน (TRC/TRA) ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อสภาเป็นสภากอบกู้รัฐฉาน (SSRC - Shan State Restoration Council)
ดำรงตำแหน่งประธานสูงสุดของสภากอบกู้รัฐฉาน (SSRC) กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2534
นายพลกอนเจิงเป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าการกอบกู้ประเทศชาติจะบรรลุเป้าหมายได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ยุติธรรม และมีความสามารถ ดังจะเห็นได้ว่าในชั่วอายุของท่านนั้น ไม่เคยหยุดยั้งย่อท้อ ที่จะให้การสนับสนุนด้านการศึกษา การปกครอง การเมือง และการทหารเพื่อประชาชนชาวรัฐฉาน
banana  2009-11-04 09:32:09      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #18
ใกล้เที่ยงวัน ก็เดินลงมาที่โรงเรียน ก็พอดีกับที่แป้งซาละเปาที่หมักไว้กำลังได้ที่ หนูดาวกำลังเป็นลูกมือคุณครูปั้นเพื่อเตรียมไปนึ่ง

ใส่ไส้เป็นมะพร้าวห้าวฝอยคลุกน้ำตาลทราย
banana  2009-11-04 09:50:10      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #19
มื้อเที่ยงหนนี้ มีกับข้าวหลายอย่าง เลยถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ

เมนูแรก คล้ายๆต้มจับฉ่าย
banana  2009-11-04 09:51:44      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #20
ไก่สับ ทอดในน้ำมัน ใส่ข่าและมะเขือเทศ
banana  2009-11-04 10:08:34      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #21
น้ำพริก ! ข่าสับ ต้นหอม พริก ...
banana  2009-11-04 10:09:57      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #22
ยำแตง เมนูแล้วกินแล้วชื่นใจ
banana  2009-11-04 10:11:05      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #23
ข้ามไปที่เมนูรวมของมื้อเที่ยงวันสุดท้ายที่อยู่ที่นั่น
banana  2009-11-04 10:13:58      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #24
เด็กน้อยคนนี้เป็นลูกชายของคุณครูคนนึงซึ่งประจำอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้

วิ่งเล่นอยู่บนยอดดอยทั้งปี
banana  2009-11-04 11:47:43      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #25
ของเล่นของเด็กๆในพื้นที่นี้ ก้หนีไม่พ้นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็กอดคอกันเล่นด้วยกันได้อย่างกลมเกลียว

(ความสูงของระดับที่เด็กยืน กับจุดที่เค้าโหนไปปล่อยตัวมีลักษณะลาดชัน สูงประมาณ4-5 เมตร เราเป็นคนตัวใหญ่ๆยังเสียว)
banana  2009-11-04 11:51:11      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #26
แวะนั่งคุยกับเด็กน้อยสามคนนี้อยู่พักนึง ด้วยภาษาไทย ซึ่งก็สามารถเข้าใจกันได้ในบางประโยค
banana  2009-11-04 12:02:26      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #27
น้องคนนี้ เพิ่งปีนขึ้นมาพักจากจุดปล่อยตัวลง ซึ่งหนสุดท้ายที่ลงไป เธอเอาเข่าลงพงหญ้าเสียงดังสนั่น หน้าตาก็เลยบู้บี้เพราะยังไม่หายเจ็บ


ผมว่าหลายคนเห็นแล้วก็คงนึกถึงวัยเยาว์ที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ผาดโผนโจนทะยานอยู่ตามทุ่งนาป่าสวน แต่เรายังดีที่เล่นเสร็จแล้วกลับบ้านมีทีวีให้ดู มีขนมให้กิน ...
banana  2009-11-04 12:36:09      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #28
ร่ำลาเด็กน้อยทั้งสี่คนที่ยังสนุกกับการเล่นปล่อยตัวลงพื้นแบบตุ้บตั๊บกันแล้ว ผมก็เดินต่อไปที่ยอดดอยอีกลูกนึง ซึ่งเล็งไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในพื้นที่นี้

ทางขึ้นเป็นขั้นบันไดที่เกิดจากคมจอบ แต่เนื่องจากพื้นผิวเป็นดินแดงเปียกน้ำลื่นๆ จึงต้องใช้วิชาบัลเลต์ เดินแบบจิกเท้าอย่างระมัดระวัง
banana  2009-11-04 12:08:15      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #29
เดินแบบตาจ้องพื้นไม่กระพริบ แต่บางจังหวะที่ขายืนมั่นคง ก็เงยหน้าขึ้นไปข้างบน

พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย....คอกล้วยไม้และคอเฟิร์นมาเห็นแบบนี้ คงกรี๊ดสนั่น
banana  2009-11-04 12:10:21      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #30
banana  2009-11-04 05:57:26      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #31
ไม่แน่ใจว่าเป็นบรรดาเฟิร์นสาย ที่บ้านเรากำลังฮิตติดลมบนอยู่หรือปล่าว เพราะถนัดแต่เรื่องกล้วยไม้
banana  2009-11-04 12:37:42      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #32
หนาแน่น ยุ่บยั่บทุกคาคบไม้
banana  2009-11-04 12:38:34      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #33
banana  2009-11-04 06:00:10      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #34
ไต่ขึ้นมาจนเกือบถึงยอด ก็พอดีลิ้นเริ่มยืดยาวมาถึงเอว

แล้วก็ต้องกลั้นใจกระโดดย้ายพุงข้ามหลุมเพลาะที่ขุดไว้ลึกท่วมหัว มองดูแล้วนึกถึงฉากไล่ล่าทหารญี่ปุ่นในเกมส์ Call of Duty เลย
banana  2009-11-04 12:45:29      แจ้งลบความเห็น

ความเห็นที่ #35
ในศาลากลางยอดดอย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งมีหลุมเพลาะรายรอบทุกทิศทาง

เดินอ้อมมาอีกฝั่งนึงของยอดเขา มองเห็นกลุ่มบ้านชาวไทใหญ่ที่อพยพย้ายถิ่นฐานหนีภัยมาอยู่ที่นี่อีกหย่อมนึง
banana  2009-11-04 12:50:44      แจ้งลบความเห็น

PAGE 1 OF 2
GO TO PAGE

Privacy & Policy Statements Advertisement About StormClub.com Contact Stormclub.com