ขอความรู้เรื่องยางครับ |
ผมกำลังจะเปลื่ยนยางใหม่จากเดิม ยางหน้า 120/70ZR17 ยางหลัง 180/55ZR17 , ยางหน้าใช้ spec.เดิม แต่ ยางหลัง จะเปลี่ยนเป็น 1. 190/50ZR17 หรือ 190/55ZR17 ดีครับ จะแตกต่างกันมากไหม 2. อายุของยางนั้น เริ่มดูกันตอนไหนครับ บางคนบอกว่า " เริ่มเมื่อวันเดือนปี ที่ผลิตยาง " แต่ก็มีอีกหลาย ๆ คนบอกว่า " เริ่มเมื่อมีการใช้ยางในครั้งแรก " หากเราเริ่มดูเมื่อวันเดือนปีที่ผลิตเป็นหลักแล้ว ยางที่ผลิดในปี 2007 ก็ไม่น่าใช้แล้วใช่ไหมครับ แต่ถ้าเราเริ่มนับในวันแรกของการใช้ยางเส้นนั้น ๆ แบบนี้ใช้ได้อีกนานจริงไหมครับ ขอความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานนะครับ ไม่มีความรู้จริง ๆ
|
foose time: 2009-05-26 16:08:17
|
แจ้งลบกระทู้ |
ความเห็นที่ #1 |
ขอตอบข้อ 2 แล้วกันนะครับ -อายุของยางนั้นเริ่มนับตั้งแต่วันที่มันเกิดขึ้นมา คือนับตั้งแต่วันที่ผลิตอ่ะครับ(ดูได้ที่บริเวณแก้มยาง) อายุของยางนั้น มีอายุราวๆ3ปี(อาจสั้นกว่านี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาด้วยครับ) หลังจากนั้นยางจะเริ่มแข็งและเสื่อมคุณภาพไปเรื่อยๆครับ
ต่อให้ซื้อมาวางไว้เฉยๆ 2-3 ปีก็เริ่มเสื่อมคุณภาพแล้วครับ
ไหนๆจะเสียตังแล้วเลือกซื้อยางที่ผลิตใหม่ๆเถอะครับ.......อย่าเห็นแก่ของถูกที่บางร้านเอายางค้างสต็อก(ยางใหม่แต่เก่าเก็บ)มาลดราคา...เก็บเพิ่มอีกนิด เปิดซิงของสดๆดีกว่าครับ |
toe23
2009-05-27 01:04:21
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #2 |
ขออุญาตินะครับ
ที่นี่ตอบตำถามคุณได้ทุกข้อ
Credit: หกขาสองหางสี่ปีก
|
Nemomancear
2009-05-27 02:32:46
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #3 |
เข้าไปอ่านแล้วแต่แปลกใจตรงที่ ยาง 190 ซึงหน้ากว้างกว่า 180 แต่มาเข้าขอบกะทะล้อที่หน้าเท่ากัน ทำไมยาง 190 หน้ายางมัน "โค้งน้อยกว่า" 180 ไปได้ งง |
RedBusa
2009-05-27 08:38:48
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #4 |
อายุยางในเบื้องต้น ให้ดูจากการผลิต โดยนับจากวันที่เราเริ่มใช้งาน ไม่ควรเกิน 2 ปี เป็นดีที่สุดครับ เพราะเคยลองกับตัวเองมาแล้วว่า ถ้าทะลุถึง 3 ปีเมื่อไหร่ ถึงแม้จะเป็นยางใหม่ก็ตาม ประสิทธิภาพการยึดเกาะ มันเห่ย แบบรู้สึกได้ ...และที่สำคัญ ในเมื่อคุณจ่ายเงินเต็มจำนวนเพื่อซื้อยางใหม่ ก็ต้องได้ของดีที่สุดกลับคืนมา กรณีนี้เคยมีร้านขายยาง "บางร้าน" มักยัดเยียดยางปีเก่าให้ลูกค้าในราคาจำนวนเต็ม ก็ต้องระวังกันให้ดี
ส่วนกรณีการนับอายุของยางจากการใช้งาน ถ้าเป็นกรณียางทัวริ่ง เริ่มจากเปิดหน้ายางสัมผัสถนนครั้งแรก ไม่ควรเกินปีครึ่ง เลยจากนั้น จะเริ่มรู้สึกได้ชัดว่า เริ่มมีอาการสะบัดสะบิ้ง แต่ถ้าเป็นยางเกรดแข่งขัน นับเป็นจำนวนครั้งครับ ซึ่งยางแต่ละตัวจะระบุไม่เหมือนกัน แต่โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ช่วง 3-4 ครั้ง เพราะการขี่ในสนามแข่งขันหรือฝึกซ้อมในสนาม มีการใช้ยางแบบเต็มประสิทธิภาพ เกิดความร้อนสูงจนเนื้อยางเริ่ม "เสื่อมสภาพ" ซึ่งก็จะลดลงเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ายางสนามที่ถอดออกมาขายเป็นยางเปอร์เซ็นต์บางเส้นอาจจะยังมีตรงหลางเหลือบานเบอะ แต่พึงระวังไว้ให้ดีว่าคุณสมบัติการยึดเกาะของเนื้อยางที่ถูกความร้อนทำลายจากการบดขยี้ในแทรคเริ่มเสื่อมสภาพ ไม่ควรเสี่ยงครับ
หายางใหม่จากผู้นำเข้าโดยตรง ซึ่งปัจจจุบันนี้เริ่มมีให้เลือกหลายราย ไม่ผูกขาดปิดประตูทางเลือกเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ |
banana
2009-05-27 13:43:24
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #5 |
ถ้าถามผม ผมจะใส่ยางตามสเป็คของรถครับ... เพราะยางที่ใหญ่กว่ากันแค่ 1 เบอร์ถ้าคุณไม่ได้โหนแบบห้อยสุดๆ เพราะพักเท้ารูดพื้นผมก็ไม่เห็นความจำเป็นครับ.... ยางที่หน้ากว้างขึ้นกว่าสเป็ครถจะทำให้ความคล่องตัวของรถหายไปครับ
ส่วนไอ้เรื่องขอบความกว้างของยาง อย่างที่คุณ Redbusa ตั้งข้อสังเกตุ ต้องบอกว่าความเห็นข้อนั้นปัจจุบันนี้ใช้ไม่ได้แล้วครับ เพราะยางแต่ละรุ่นและบริษัทผู้ผลิตจะมีสูตรในการกำหนดความโค้งไม่เหมือนกันอีกแล้วครับ
ผมยังค้นหาภาพหน้าตัดของยางรุ่นใหม่ๆ ไม่เจอเคยมีของปีที่แล้วครับแต่ไม่รู้ผมไปเก็บไว้ไหน จำได้ประมาณว่า หากจะใช้ของบริษัท รุ่นไหนควรไปหาข้อมูลเรื่อง Camber ของรุ่นนั้นโดยตรงครับว่าเหมาะกับรถของคุณหรือไม่ เพราะซีรีส์เท่ากันเปี๊ยบแต่ระยะ และความโค้งของ Camber ไม่เหมือนกันครับ ยางบางรุ่นออกแนวรรูปไข่ คือมีการออกแบบให้หน้าสัมผัสบริเวณขอบยางลาดกว่าเพื่อผลต่อการเกาะโค้งอันนี้เหมาะกับรถที่มีมุม banking มากอย่างพวกรถสปอร์ตน้ำหนักเบา แต่ยางบางรุ่นมีผิวสัมผัสตรงกลางมากกว่า ความโค้งที่ผิวจะออกแนวกลมเพราะเน้นให้มี Traction รับกับแรงบิดสูงๆ เหมาะกับรถที่มีน้ำหนักมากและแรงบิดสูง
ที่จำๆ ได้ประมาณนี้ครับ |
gear7
2009-05-27 14:18:00
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #6 |
แบบนี้เหรอเปล่าครับ น้า gear7 ได้มาจากของ Pirelli ครับ
|
RedBusa
2009-05-28 05:20:15
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #7 |
ใช่ครับคุณ RedBusa ประมาณนี้แหละ แต่เป็นของอีกยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งแทบทุกกยี่ห้อเปลี่ยนมาใช้แนวคิดเลือกยางให้เหมาะกับประเภทรถกันหมดแล้วครับ
ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้ผมขอเอารูปประกอบมาให้ดูครับ เกี่ยวกับการใช้ยางหน้ากว้าง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับตัวคำถามเท่าไหร่นัก แต่อยากให้เอามาให้อ่านประกอบความเข้าใจเพิ่มเติมครับ |
gear7
2009-05-29 02:15:05
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #8 |
(ดูภาพประกอบความเห็นข้างบน รวมกับของคุณ RedBusa )
การจะได้ประโยชน์จากยางหลังหน้ากว้างเราต้องเข้าใจมันก่อนครับ แต่เดิมผู้ผลิตออกแบบให้ใช้ยางหลังกว้างกว่ายางหน้ามีเหตุผลหลักๆ 2 ประการ 1.ต้องการเพิ่ม Traction เพราะเป็นล้อกำลัง 2.เพิ่มระยะ Banking-level ของรถ
แต่ประเด็นที่ส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบก็คือ เพราะจุดศูนย์ถ่วงเมื่อเรา Hang On จะเลื่อนเข้าหาด้านใน การทำมุมลาดของยางก็เพื่อรองรับศูนย์ถ่วงที่เลื่อนนี่แหละ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่ม Traction ของล้อหลังด้วย ดังนั้นยางรุ่นใหม่ๆที่มีการปรับมุมลาดบริเวณด้านข้างก็เพื่อเพิ่มพื้นที่การยึดเกาะในขณะเข้าโค้ง
ดังนั้นการใช้ยางหน้ากว้างเพื่อหวังจะให้มั่นคงในโค้ง อาจจะไม่ได้อย่างที่หวังเสมอไปเพราะอาจจะซื้อยางหน้ากว้างแต่เลือกยางไม่ถูกกับรถ นอกจากโค้งจะไม่ได้ดีขึ้นแล้วยังเปลืองน้ำมันและจ่ายแพงขึ้นด้วย |
gear7
2009-05-29 01:47:03
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #9 |
ที่นี้ในยางรุ่นใหม่ๆ จะเห็นว่าความกว้างของหน้ายางไม่ได้ทำให้หน้าสัมผัสกว้างขึ้นมากนัก แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือระยะเลื่อนตัวของหน้าสัมผัสจะเลื่อนตัวไปมากกว่า(หน้ายางกว้างกว่าจะได้ระยะในการ"กลิ้งตัว"ไปเยอะกว่าในองศาเท่ากัน) ซึ่งก็จะไปสนับสนุนให้นักขี่มั่นคงมากขึ้นและได้ประโยชน์จากการ Hang-on ตามรูปที่ 7 |
gear7
2009-05-29 01:35:12
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #10 |
นอกจากนี้แล้วเมื่อปรับ"มุมลาด" ให้ลดระดับลงก็จะได้ประโยชน์อีกประการหนึ่ง อันนี้มันเกี่ยวกับเส้นรอบวงของยางตรงกลางเมื่อเที่ยบกับ เส้นรอบเวงที่ด้านข้างจะต่างกันมากกว่า ผลที่ได้คือจะทำให้รถมีวงเลี้ยวแคบลงด้วย
ดูภาพประกอบด้านซ้ายของ คำตอบที่ 8 เพิ่มเติมจะแสดงเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่างแนวตรงกลางยาง กับด้านข้าง ซึ่งส่งผลเหมือนกับการกลิ้งแก้วน้ำปากบานไปบนพื้น ถ้าปากแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า แก้วน้ำก็จะตีวงแคบลงด้วย เช่นเดียวกันกับยางรุ่นใหม่ๆที่ปรับมุมลาดครับ
ถ้าคุณใช้ยางรุ่นใหม่จะสังเกตุเห็นอย่างหนึ่งว่า รู้สึกว่ารถพลิกได้ไวขึ้นจนบางคนอาจจะตกใจว่าเฮ้ยยยย รถกรูเป็นไรเปล่า ถ้าเป็นรถสปอร์ตก็คงชอบ แต่ถ้าคุณเอายางพวกนี้มาใช้กับรถประเภทอื่น โดยหวังจะให้มันขี่ง่ายขึ้นหรือแบนได้มากขึ้น คุณอาจจะต้องคิดใหม่ครับเพราะสุดท้ายมันก็ถูกบังคับด้วยกายภาพของรถเอง เช่นกว่าจะหมดหน้ายางพักเท้าก็ครูดพื้นหรือท่อครูดพื้น.... ดังนั้นผมจึงบอกไว้ในความเห็นต้นๆว่า ใช้ยางตามสเป็คเถอะครับ แต่เลือกยางที่เกรดดีหน่อย อย่าไปจ่ายแพงกว่าเพราะต้องการใช้ยางหน้ากว้างโดยไม่เข้าใจมันเลยครับ |
gear7
2009-05-29 01:45:36
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #11 |
ไหนๆ ก็มาแล้ว เสริมให้อีกเรื่องครับ ที่ผมบอกว่าถึงยางจะรับการ Banking ได้มากๆ เอียงรถได้เยอะๆแต่มันอาจจะไปติดอุปสรรค์อื่นๆบนตัวรถ เช่น... ระยะห่างจากพื้นของรถคุณได้หรือไม่ ต้องอย่าลืมว่าเมื่อคุณสาดโค้งแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง + กับแรงโน้มถ่วง จะถ่ายไปที่โช้คอัพทั้งหน้าและหลังทำให้ระยะห่างจากพื้นในรถคุณต่ำลงไปอีกทำให้บรรดาชิ้นส่วนอื่นๆอาจจะครูดพื้นได้ อันแรกสุดก็เซ็นเซอร์ที่พักเท้านี่แหละ แล้วถ้าคุณไปถอดมันออกต่อไปก็ท่อหรือแฟริ่งหรือส่วนอื่นๆ...
ไอ้ที่แย่กว่านั้นบางคันไปโหลดช๊อกอัพก็ยิ่งแบนได้น้อยลงไปอีกเพราะเอียงนิดเดียวก็ครูดพื้นขณะที่หน้ายางยังเหลืออีกบาน แล้วแบบนี้จะไปจ่ายเงินส่วนเกินกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้ทำไมครับ ????
|
gear7
2009-05-29 02:17:56
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #12 |
น้าต้อมครับ ต่อๆๆๆๆ อีกนิดครับ ยิ่งอ่านยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้
ขอถามเรื่องท่าการขี่ คือ อยากรู้ว่าท่าไหนที่เหมาะสมในการแก้อาการสบัดของรถที่ดีที่สุดครับ คือประสบการณ์ที่ผ่านมา lean with แบบปล่อยน้ำหนักตัวลงที่เบาะเกือบทั้งหมด เวลาเข้าโค้งพอถึงจุดๆ หนึ่งมันเหมือนล้อหลังจะอยากนำล้อหน้า(หวิวๆ ครับ) ในจุดเดียวกันถ้าเป็น hang on จะรู้สึกดี แต่หากทางไม่เรียบ จะเหมือนรถจะกระชากเราออกในทิศทางนอกโค้งเป็นช่วงๆ ชวนจะบานโค้ง และหลุดจากเบาะ ในเวลานั้นความรู้สึกเหมือนรถเสียอาการแต่ผ่อนคันเร่งลงนิดนึงก็หาย แต่ก่อนที่อาการจะหาย หัวใจเกือบลงถึงตาตุ่มทุกที
ขอคำแนะนำด้วยครับน้าต้อมครับ
อ้อ เพิ่มเติมครับ ผมใช้ Haya ปรับช่วงล่างและลมยางตามสเปคครับ |
RedBusa
2009-05-29 03:11:14
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #13 |
การใช้ท่าทางการขับขี่จะเรียนกันตามความเร็วทีใช้
โค้งความเร็วต่ำมาก -> ใช้ Lean-out โค้งความเร็วต่ำมีระยะตีวง - ถึงความเร็วปานกลาง ใช้ Lean-with โค้งความเร็วปานกลาง - ถึงความเร็วสูง ใช้ Lean-in โค้งความเร็วสูง - ความเร็วเต็มลิมิตของโค้งใช้ Hang-On
คำว่าความเร็วที่พูดถึงนี้ คุณต้องประมาณเองจากความรู้สึก โดยถ้าเป็นโค้งแคบที่ทำสปิดได้ ในที่นี้ก็ถือว่าความเร็วสูงเหมือนกัน ดังนั้นคุณ Redbusa ต้องไปวิเคราะห์ปรับท่าตัวเองกับรถครับ
(คำอธิบายภาพ) โดยปกติเราจะใช้ Lean with กับการขับขี่ทั่วไปแต่ถ้าหากคุณเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงจนเซ็นเซอร์พักเท้าละเลียดพื้นแล้ว การข้ามไปใช้ Hang-On จะช่วงลดองศาการแบนโค้งลงไปได้ประมาณ 5 องศา (จาก 45 หลือแค่ 40 องศา) เพราะการขยับจุดศูนย์ถ่วงร่างกายออกมานอกเบาะและลดระดับต่ำลงของ Hang-On (ศูนย์ถ่วงร่างกายอยู่ประมาณตำแหน่งใต้สะดือลงไป 2-3 นิ้ว) จะช่วยเลื่อนจุดศูนย์ถ่วงของรถเข้ามาด้านใน ช่วยบาลานซ์กับแรงเหวี่ยงหนีศูนย์เพิ่มขึ้นอันนี้คือข้อดี แต่ข้อเสียก็คือความคล่องตัวและความว่องไวในการพลิกรถหลบหลีกจะหายไป
"ไม่มีท่าขับขี่ท่าใดท่าหนึ่งจะเหมาะสมกับทุกสถานะการณ์".... ดังนั้นเราต้องเป็นคนเลือกว่าสมควรจะใช้ท่าไหนในการขับขี่ในโค้งหนึ่งๆ ครับ :)
เหนืออื่นใด อย่าลืมเรื่องสายตาครับ สายตามองไม่ถูกจุดก็เป็นสาเหตุให้"เหวอ" ได้เหมือนกันและเกือบครึ่งของนักขี่ ผมเห็นว่าพลาดจุดนี้มากที่สุดครับ
|
gear7
2009-05-30 11:21:40
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #14 |
ตอบเร็วจริงๆ กับฝีมือกราฟิกไม่เป็นรองใคร
เห็นทั้งคำบรรยาย และรูปภาพ กระจ่างเลย คงต้องฝึก+ปรับใช้ต่อไป ยามที่ได้ออกบิน
ยิ่งบรรทัดสุดท้าย โดนเองมาหลายครั้ง เผลอทีไรชอบมองหาก้อนกรวดกะเมล็ดถั่วตามถนนทุกที ปลายโค้งมี ไม่ยอมมอง ..... (ไม่ได้กลิ้งนะครับ...อิอิ)
ขอบพระคุณครับน้าต้อมมากๆ ครับผม |
RedBusa
2009-05-29 07:29:52
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #15 |
อ่านแล้ว บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดคับน้า เพิ่งจะเข้าใจทั้งการเลือกใช้เบอร์ของยาง แล้วก็เรื่องของท่าทางกับองศารถตอนเข้าโค้งก็ตอนนี้แหละ
เมื่อก่อนผมก็คิดว่า lean in/with, hang on เนี่ยะ รุถมันก็เอียงเท่าๆกันนั่นแหละ แต่แค่เปลี่ยนท่าทางในการขับขี่เท่านั้นเอง ที่ไหนได้ hang on นี่มันชดเชยองศารถได้อีกหน่อยนึงแหน่ะ ทีนี้จาได้ขี่ตามเจ้าไก่(seiko)มันทันซะที...อิอิ |
pravit17
2009-05-30 10:23:40
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #16 |
ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนสำหรับคำตอบ ผมจะนำความรู้ที่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด |
foose
2009-05-31 06:46:04
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #18 |
Banking กับ Traction แปลว่าอะไรครับ แปลไม่ออกเลยจับใจความไม่รู้เรื่องเลยครับ .... ผมว่าคงยังมีคนที่ไม่รู้ศัพท์เทคนิคพวกนี้ แลวยังงงอีกหลายคนนะครับ |
james-zz
2009-06-10 20:02:18
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #20 |
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีๆแบบนี้ ผมขออนุญาติเอาLinkดีๆแบบนี้ไปแปะที่เว็ป bikeclub.e-chiangmai.comนะครับ ขอบคุณครับ |
meemeenoi
2009-09-26 05:08:08
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #21 |
เครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจฉริยะ CTEK จากสวีเดน ดีที่สุด/ถูกที่สุด รับประกันสูงสุด 5 ปี สินค้าที่มีจำหน่าย รุ่น mxs 5 mxs 10 mxs 25 XT 14000 MXTS 70 50 ใช้งานง่ายชาร์จโดยไม่ต้องยกแบตเตอรี่ออกจากรถ ไม่ต้องถอดขั้ว ตัดไฟอัตโนมัติ เหมาะสำหรับรถที่จอดทิ้งไว้ไม่ได้ขับ(จอดมากกว่าใช้) ชาร์จแบตเตอรี่รถกับไฟบ้าน หมดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ใช้ได้ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ และยานพาหนะทุกชนิด มีระบบฟื้นฟูแบต จั๊มสตาร์ท ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดย สนใจโทร. 0869455977 หรือ Line ID : CTEK.THAI
เครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัตโนมัติ CTEK Automatic Charger 8 Step 12V. 5,10,25 Amp. "เต็มตัด ขาดต่อ" CTEK MXS5 mxs10 mxs25 เครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่สำหรับรถที่คุณรัก และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณๆที่มีรถหลายคันและไม่ค่อยได้ใช้จอดไว้นานๆ แค่มีเจ้า CTEK อุปกรณ์ชาร์จและกระตุ้นแบตฯจากสวีเดนเครื่องนี้ คุณก็จะหมดกังวลเรื่องแบตฯเสื่อมเร็วก่อนกำหนด, ไฟในแบตฯไม่พอสตาร์ทเนื่องจากจอดทิ้งไว้นาน หรือเดินทางต่างจังหวัดหากต้องการฟังเครื่องเสียงจากรถแต่ก็กลัวแบตฯจะหมดสตาร์ทไม่ติด เพียงคุณมีเจ้า CTEK เครื่องนี้ติดตัวไว้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปครับ เจ้า CTEK เครื่องนี้จะทำงานเสมือนว่าคุณได้ใช้รถตามปกติ จะช่วยเซฟแบตเตอรี่และป้องกันแบตฯไม่ให้เสียหรือเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร โดยไม่ต้องถอดแบตเตอรี่ออกจากรถจึงไม่ทำให้ข้อมูลหน่วยความจำของรถหาย และสัญญาณกันขโมยยังทำงานได้ตามปกติ สนใจสินค้า คลิ้กไปดูที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
เครื่อง ชาร์จ/ฟื้นฟู แบต แห้ง/น้ำ อัจฉริยะ CTEK จากสวีเดน ถูกที่สุด/ดีที่สุด ประกัน5ปี ไฟฉายแรงๆ /วิทยุสื่อสาร /กล้องแอบถ่าย /เครื่องดักฟัง /GPS ติดตามรถหาย ระบุตำแหน่ง ผ่านดาวเทียม โปรโมชั่นพิเศษ ฟรี Real-time Tracking Server เมื่อซื้อ GPS ติดตามรถหายกับเราภายในเดือนนี้เท่านั้น คลิ้กไปดูที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ //
+++ เครื่อง ชาร์จ+ฟื้นฟู แบตรถ SUPER CAR แห้ง/น้ำ อัจฉริยะ CTEK ดีสุด/ ประกัน5ปี +++ เครื่อง ชาร์จ+ฟื้นฟู แบตรถ 4x4 แห้ง/น้ำ อัจฉริยะ CTEK ดีที่สุด/ ประกัน5ปี เหมาะสำหรับรถที่จอดมากกว่าใช้ ขาย จำหน่าย ซื้อ เครื่องชาร์ทแบตเตอรี่รถยนต์อัจฉริยะ CTEK จาก สวีเดน
ขายเครื่องชาร์ทแบตเตอรี่รถยนต์อัจฉริยะ CTEK จาก สวีเดน สำรับรถที่จอดมากกว่าใช้ หมดปัญหาเรื่องรถสตาร์ทไม่ติดด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจริยะนำเข้าจากสวีเดน ดีที่สุดในโลก *** เครื่องชาร์จแบต ctek หาซื้อได้ที่ไหน ครื่องชาร์จ CTEK / เครื่องชาร์จแบต CTEK / เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK จาก สวีเดน ดีที่สุด/ถูกที่สุด จำหน่ายเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์/รถมอเตอร์ไซค์/เรือ/และยานพาหนะทุกชนิด อัจฉริยะ/อัตโนมัติ CTEK MXS 5.0 คุณภาพดีที่สุด จากสวีเดน เราขายถูกที่สุดในไทย ขายเครื่องชาร์ทแบตเตอรี่รถยนต์อัจฉริยะ CTEK จาก สวีเดน สำรับรถที่จอดมากกว่าใช้ และเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแบตเตอรรี่รถทุกประเภทให้มีอายุการใช้งานยาวนาน...ยิ่งขึ้น
อัจฉริยะอย่างไร ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ เรือ รถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ที่ใช้แบตเตอรี่ 12V lead-acid(ตะกั่ว-กรด)ได้ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อขนาดเล็ก หนักเพียง 600 กรัม ใช้ได้ทั้งกับแบตเตอรี่แห้งและแบตเตอรี่น้ำ ทุกขนาด ทุกยี่ห้อ รวมทั้งแบตเตอรี่ Gel ( Gel Battery or GelCell ) และ AGM ( AGM Battery ) **มีไฟเตือนเมื่อเสียบผิดขั้ว ปลอดภัยในการใช้** >> สั่งซื้อได้ที่ >> / / / ctek.thai(แอท)hotmail.com โทร 0869455977 10.00 - 20.00 หรือ Line ID : CTEK.THAI
การชาร์จด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ทั่วไปทำให้แบตเตอร์รี่บวมเพราะความร้อนในการเร่งอัดกระแสไฟเข้าไปทำให้น้ำกรดเดือด และความร้อนยังทำให้แผ่นตะกั่วขยายตัว มีโอกาสแตะกันทำให้เกิดกระแสไฟลัดวงจร ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือชำรุดเสียหายได้ เครื่องจะทำการปรับไฟอัตโนมัติ มีการควบคุมกระแสไฟไม่ให้ร้อนเกินไปโดยเริ่มชาร์จด้วยไฟอ่อน ต่อมาเพิ่มกำลังชาร์จเต็มที่แล้วลดกำลังไฟเมื่อชาร์จใกล้เต็ม ระบบอัจฉริยะของเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์CTEK ทำให้ชาร์จทิ้งไว้ได้โดยเครื่องจะตัดไฟเองเมื่อแบตฯเต็ม มีไฟแสดงขั้นตอนการทำงานตั้งแต่เริ่มจนกว่าจะชาร์จเต็มทั้งหมด 8 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 เครื่องจะปล่อยกระแสไฟที่ทำให้ซัลเฟตที่ติดกับแผ่นตะกั่วนั้นหลุดออกไปเพื่อเพิ่มความจุของแบตเตอรี่ ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบสภาพของแบตฯว่ามีสภาพดีพอที่จะชาร์จได้อีกหรือไม่ก่อนที่จะทำการชาร์จ ขั้นตอนที่ 3 ทำการชาร์จโดยกระแสไฟสูงและชาร์จจนถึง 80% ของความจุ ขั้นตอนที่ 4 ทำการชาร์จด้วยกระแสไฟต่ำจนเต็ม 100% ของความจุ ขั้นตอนที่ 5 ตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ยังสามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้อีกหรือไม่ ขั้นตอนที่ 6 เป็นการฟื้นฟูสภาพแบตเตอรี่ ขั้นตอนที่ 7 ไฟในแบตเตอรี่จะเต็มแล้วแต่จะมีการรักษาระดับไฟในแบตเตอรี่ไว้ ซึ่งสามารถจะถอดเครื่องออกได้เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ แต่ถ้ายังคงให้ชาร์จต่อไปเครื่องจะคอยควบคุมด้วย ขั้นตอนที่ 8 เพื่อรักษาไฟในแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับ 95-100% โดยจะทำการชาร์จทันทีที่ไฟในแบตเตรี่ลดลง เพื่อให้แบตเตอรี่มีไฟคงที่อยู่เสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ต้องกังวลว่าจะสตาร์ทรถไม่ติดเมื่อต้องการใช้รถ >> สั่งซื้อได้ที่ >> / / / ctek.thai(แอท)hotmail.com โทร 0869455977 10.00 - 20.00 หรือ Line ID : CTEK.THAI
ctek ของเข้าแล้ว สอบถามใด้เลยครับ CTEK ล๊อตใหม่มาแล้วอีกเพียบ ไม่ต้องรอของนานเหมือนเจ้าอื่นๆ __ เครื่อง ชาร์จ/ฟื้นฟู แบต แห้ง/น้ำ อัจฉริยะ CTEK จากสวีเดน ถูกที่สุด/ประกัน5ปี บำรุงรักษาแบตเตอรี่ของท่านไม่ให้เสื่อมง่ายๆ และใช้งานใด้ยาวนานขึ้น ด้วยเครื่องชารจ์อัจฉริยะ CTEK ดีที่สุดในสามโลก เครื่องชาร์จ ctek ถูกที่สุดในไทย ดีที่สุดสำหรับการชารจ์แบตรถ supercar สนใจคลิ้กเลยครับ
ctek mxs 5 เหมาะที่สุดกับการชาร์จแบตมอเตอร์ไซค์ และชาร์จ BigBike SuperBike ใช้ชาร์จแบตรถยนต์ใด้ แต่ชาร์จแบตรถยนต์ค่อนข้างช้า ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องเวลา และแบตรถยนต์ไม่เกิน 110 แอมป์ mxs5 ก็ใช้ใด้ครับ (เครื่องจะชาร์จให้จนเต็มแล้วตัด หลังจากนั้นจะมอนิเตอร์แบตเตอรี่ไปเรื่อยๆ ถ้าแบตเตอรี่คายประจุจนตกลงต่ำกว่า90% จะทริกชาร์จให้จนเต็มแล้วตัดแล้วมอนิเตอร์อีกแบบนี้ไปเรื่อยๆซึ่งทำให้แบตเต็มอยู่ตลอดเวลา)
ctek mxs 10 สำหรับชาร์จแบตรถยนต์ทุกชนิด (สามารถชาร์จแบตรถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดตั้งแต่ 20แอมป์ขึ้นไปใด้) ถ้าต้องการชาร์จเร็ว แนะนำ mxs10 ชาร์จใด้เร็วกว่า mxs 5 1เท่าตัว เช่นถ้ารุ่น 5ชารจเต็มที่10ชม รุ่น10ก็จะชารจเต็มที่5ชม. และ mxs 10 มีโหมดซัพพลายด้วย สามารถใช้จ่ายไฟเพื่อเปิดฟังเครื่องเสียงชุดกลางๆโดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือกรณีรถแบตอ่อนสามารถเปิดไปที่โหมดซัพพลายซัก 5-10 นาทีแล้วสตารท์รถออกไปใช้ชั่วคราวใด้เลย เหมือนเราพ่วงแบต/จั๊มแบต โดยไม่ต้องรอชารจ 3-4 ชมอย่างรุ่นmxs5 ครับ
ctek mxs 25 ดีที่สุด เหมาะกับร้านประดับยน์ อู่ซ่อมรถ โชว์รูมขายรถ เต็นท์รถ หรือใช้ออกบูทโชว์เครื่องเสียง รถชาร์จใด้เร็วกว่า mxs 5 4เท่าตัว เช่นถ้ารุ่น 5ชารจเต็มที่10ชม รุ่นmxs25ก็จะชารจเต็มที่1ชม. และ mxs 25 มีโหมดซัพพลายด้วย สามารถใช้จ่ายไฟเพื่อเปิดฟังเครื่องเสียงโดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือกรณีรถแบตอ่อน/สตาร์ทไม่ติด สามารถเปิดไปที่โหมดซัพพลายแล้วสตารท์รถออกไปใช้ชั่วคราวใด้เลย เหมือนเราพ่วงแบต/จั๊มแบต โดยไม่ต้องรอชารจ 3-4 ชมอย่างรุ่นmxs5 ครับ ข้อมูลและจัดจำหน่ายโดย ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย สนใจโทร 0869455977 หรือ Line ID : CTEK.THAI
จะซื้อ ctek ถ้าหาแต่ที่ราคาถูก ระวังเจอะของถูกกว่าแค่ร้อยสองร้อยแต่ประกันปีเดียวนะครับ ของแท้ MXS 5.0 ประกัน 5 ปี / MXS 10 ประกัน 2 ปี by ctek ต้องที่ spy-thai.com เท่านั้นครับ
CTEK mxs 10 ก็มีจำหน่ายนะครับ |
bkk2004
2015-06-17 11:13:10
|
แจ้งลบความเห็น |
|