สำหรับบางคนมอเตอร์ไซค์คือยานพาหนะประจำวัน บางคนคืองานอดิเรก (แต่ถ้าเป็นชาวพายุขนานแท้หล่ะก็มอเตอร์ไซค์เป็นยิ่งกว่าสิ่งเสพติด ถ้าไม่ได้ขี่อาจมีอาการลงแดงได้) แต่จุดมุ่งหมายของทุกคนคือการเดินทางไปยังเป้าหมายอย่างปลอดภัย เรามาดูข้อคิด 5 ข้อที่จะช่วยให้เราขี่รถได้สนุกและปลอดภัยมากขึ้น
1. อย่าเชื่อใจรถคันอื่น
เรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนๆเดียวเท่านั้นคือ ตัวเราเอง เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเห็นหรือจำเป็นต้องขับเข้าไปใกล้ๆ รถลักษณะดังต่อไปนี้ มีรอยบุบ รอยชน
ร่องรอยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการตัดสินใจที่”ผิดพลาด”ของผู้ขับในอดีต ซึ่งเราคงไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งใหม่ของพี่เค้าแน่ๆ สกปรกและไม่ได้รับการเอาใจใส่
อันนี้ไม่ได้หมายถึงรถเก่า แต่โปรดจินตนาการถึงรถที่มีฝุ่นเกาะหนาๆ ประมาณว่าตั้งแต่ซื้อมาพี่แกยังไม่คิดจะล้าง ไม่สามารถระบุสีที่แท้จริงของรถได้ ไฟเลี้ยวแตก กระจกไม่ครบ ป้ายทะเบียนห้อย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความไม่เอาใจใส่ ซึ่งอาจส่งผลถึงพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ใส่ใจรถคันอื่นบนถนนด้วย (คิดดู รถตัวเองมันยังไม่ใส่ใจ แล้วเราอยู่ข้างๆ จะรอดมั๊ยเนี่ย…) เราควรเพิ่มความระวังและอยู่ห่างรถที่มีลักษณะเหล่านี้
นอกจากนี้รถบางชนิดยังสามารถเตือนให้เราระวังเป็นพิเศษเช่น รถ
รถแท็กซี่ : อย่าพยายามวิ่งอยู่ด้านซ้ายของเค้า เพราะแท๊กซี่ไม่มีป้ายจอดเหมือนรถเมล์ ฉะนั้นเมื่อใดที่เค้าเห็นคนยืนชะเง้อมองออกมาที่ถนน ทำท่ายกแขนออกนอกลำตัวเพียงนิดเดียว พี่แกหักเข้าหาทันทีโดยไม่สนว่าตอนนั้นรถตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งใดของถนน!!! อีกอันนึงคือเวลารถติดแล้วเราชาวมอเตอร์ไซค์วิ่งเลาะบริเวณระหว่างเลน ก็ให้ระวังผู้โดยสารในรถแท๊กซี่จะเปิดประตูออกมาจ๊ะเอ๋เอา เดี๋ยวจะกลายเป็นซุเปอร์แมนแบบไม่รู้ตัว
รถกระบะหรือปิ๊กอัพ อย่าแลกครับ เสี่ยงมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นรถส่งของและคนขับไม่ใช่เจ้าของรถฉะนั้นพี่แกจะซัดไม่เลี้ยง ขนาดของรถไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเค้า มีรูเป็นมุด เห็นรถคันอื่นบนท้องถนนเป็นเสมือนกรวยยางเอาไว้วิ่งสลามลอม แล้วยิ่งปิ๊กอัพสมัยนี้เครื่องแรงมากวิ่ง 180 นี่หนมๆ ทางที่ดีให้พี่เค้าไปก่อนดีกว่า
รถแต่งเลียนแบบรถแข่ง หลายคนแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ก็หลายคนเหมือนกันที่แต่งแล้วเอาไว้ซิ่งบนถนนเพราะเข้าใจว่าตัวเองนามสกุล ชูมักเกอร์ อันนี้ถ้าเราเจอเปิดทางให้พี่เค้าไปก่อนเลย เดี๋ยวเค้าก็ไปเจอกับไอ้ปิ๊กอัพคันเมื่อกี๊หน่ะแหละ...
รถ 4x4 ที่ยกสูง นานๆจะเจอที แต่ถ้าเจอให้ห่างไว้จะดีกว่า เพราะลำพังรถยนต์ด้วยกันเค้ายังมองลงมาไม่ถนัดเลย แล้วถ้า 2 ล้ออย่างเราไปขี่หรือจอดอยู่ใกล้ๆ กลัวจะกลายเป็นลูกอมของเค้าไปหน่ะสิ
รถที่ขับโดยผู้หญิงและคนชรา อันนี้ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกหรือโอ้อวดนะครับ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีปัญหากับการตัดสินใจทำให้อาจมีอาการยึกยักในบางจังหวะ ส่วนคนแก่นอกจากเรื่องการตัดสินใจแล้วยังมีเรื่องของสายตาที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าปกติด้วย ฉะนั้นอย่าพยายามเดาใจเค้า ทิ้งระยะห่างให้ชัวร์หรือถ้ามีโอกาสก็แซงให้ผ่านไปซะ
รถมอเตอร์ไซค์ พวกเราสองล้อด้วยกันเองนี่แหละ โดยเฉพาะบรรดา ”เด็กแว้น” , “เด็กแซ้บ” (มีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่) สังเกตได้จากการตกแต่งรถ เช่น ยางเล็ก, สวิงอาร์มสั้น, แฮนด์หมอบ, ท่อแต่ง ฯลฯ คงไม่ต้องบรรยายมากเป็นอันรู้กันสำหรับพฤติกรรมการขับขี่ ปล่อยน้องเค้าไปครับ อย่าไปวัดกะเค้า ผมหล่ะกลัวใจจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าบรรดารถมอเตอร์ไซค์ใหญ่จะขี่ดีมีมารยาททุกคนนะครับ ไอ้ที่เปรี้ยวปริ๊ดส์ก็เยอะ ยังไงก็ให้เค้าผ่านไปก่อนละกัน ไม่เป็นไรเราไม่รีบ เดี๋ยวไฟแดงหน้าก็เจอกันอยู่ดี
จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถเชื่อใจรถคันอื่นบนถนนได้เลยนอกจากนี้เราควรเพิ่มความระมัดระวังในรถบางประเภทให้มากยิ่งขึ้น
2. ระวังจุดบอด
ข้อสำคัญที่สุดที่สมควรจำไว้คือ ถ้าเราไม่เห็นหน้าของคนขับในกระจกมองข้างหรือกระจกมองหลังของรถเก๋งคนขับรถคันดังกล่าวก็จะไม่เห็นเราเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามการที่เราเห็นหน้าคนขับในกระจกรถก็ไม่ได้หมายความว่าคนขับดังกล่าวจะมองเห็นเราเสมอไป
ถ้าเราพบว่าเราอยู่ในจุดบอด เราควรเร่งรถหรือใช้เบรคเพื่อออกจากตำแหน่งที่อันตรายให้เร็วที่สุด (เราควรใช้ความเร็วมากกว่าความเร็วของรถคันอื่นบนถนนเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รถเราไปแช่อยู่ในจุดบอด) เราควรเตือนตัวเองให้ระวังจุดบอดตลอดเวลา
3. รู้จักจังหวะในการขี่
จังหวะการขี่ที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญ บางคนมีความเชื่อว่าขี่รถช้าจะปลอดภัย ในขณะที่บางคนเชื่อว่าขี่รถเร็วจะปลอดภัย สิ่งที่จะบอกได้ว่าขี่ช้าหรือเร็วจะปลอดภัยกว่ากันคือ สภาพแวดล้อมในการขี่รถ เช่น การจราจร สภาพถนน สภาพอากาศ สภาพรถที่เราขี่อยู่ เป็นต้น
การที่จะขี่รถได้ปลอดภัยเราควรคำนึงถึงสิ่งรอบตัวเป็นหลัก รู้จักใช้จังหวะในการขี่รถที่เหมาะสม, ใช้ความเร็วที่เหมาะสม เช่น ขี่ช้าในเมืองที่มีสภาพการจราจรที่ติดขัด ขี่เร็วขึ้นเมื่อถนนโล่งแต่ไม่เร็วเกินความสามารถของเรา
ซึ่งในสถาพถนนปกติ การที่เราใช้ความเร็วมากกว่าสภาพการจราจรโดยรอบเล็กน้อยจะช่วยให้เราปลอดภัยกว่าการใช้ความเร็วเท่ากัน หรือ ช้ากว่า
นอกจากนี้เราสมควรที่จะมองหา “ทางออกฉุกเฉิน” เผื่อไว้ด้วยตลอดเวลา เช่น กรณีที่มีการเบรกกระทันหัน นอกจากเราจะต้องกะระยะและน้ำหนักกดเบรกแล้วเรายังต้องเผื่อหาพื้นที่ในการหลบด้วย เพื่อกรณีที่เรากดเบรกตามแผนแล้วแต่ระยะทางไม่พอ จะได้ไม่ต้องใช้กันชนคันหน้าในการหยุดรถ
4. เผื่อที่ให้ความผิดพลาดของผู้อื่น
ความผิดพลาดของผู้อื่นในกรณีนี้หมายถึงผู้ร่วมใช้ถนนอื่นๆ เช่น เลี้ยวกระทันหันโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว, จอดโดยไม่ให้สัญญาณ และอื่นๆอีกมากมาย การที่เราจะขี่รถได้อย่างปลอดภัยเราต้องเผื่อที่ให้ผู้อื่นได้ทำความผิดพลาดโดยที่ไม่กระทบกระเทือนเรา
ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า “เราไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดของผู้อื่นได้” วิธีแก้ปัญหาคือเราต้องมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ออก แล้วเว้นที่ว่างให้ความผิดนั้นเพื่อจะไม่กระทบกระเทือนเรา
การที่เราอารมณ์เสียกับความผิดของผู้อื่นไม่ได้ช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นหายไป ในทางตรงข้ามอาจเกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย
5. การฝึกฝน
เมื่อมีเหตุการฉุกเฉินเกิดขึ้นสิ่งแรกที่เราจะตอบสนองจะมาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากสัณชาตญานของเราเอง เช่น เมื่อมีรถเลี้ยวตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด เราอาจจะเบรคจนล้อล๊อค หรือบีบทั้งเบรคและครัชในเวลาเดียวกัน จะเห็นได้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราตอบสนองไปอาจไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นแต่กลับช่วยให้แย่ลง การที่เราจะแก้ปัญหาเวลาที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน คือการขยันซ้อมจนกลายเป็นนิสัย เช่น การฝึกเบรค, การฝึกเลี้ยวแบบ counter steering, การมองกระจกหลัง, การเหลียวมองรถด้านหลัง, การใช้ไฟเลี้ยว เป็นต้น
ควรฝึกสิ่งเหล่านี้ให้เป็นนิสัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะใช้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้เราควรศึกษาเส้นทางที่เราจะต้องใช้, พื้นผิวถนน, ลักษณะการจราจร, ฯลฯ
การที่เราฝึกสิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เราได้ถ้วยรางวัลในสนามแข่ง แต่จะช่วยให้เราปลอดภัยและยังทำให้เราขี่รถอย่างมีความสุขไปได้อีกนาน
เรื่อง : Tron
เรียบเรียง : Rider 11 |