ความเห็นที่ได้จากการขับขี่
DUCATI HYPERMOTARD
Banana 's Comments
เปิดประเด็นการทดสอบรถที่ถือว่าเป็นมิติใหม่ในครั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณพี่จูล่ง หนุ่มลำปางวัยดึก ที่คึกคักตอนอายุ 40 ยอมขับรถจากลำปางมาสอย DUCATI Hypermotard S ไปจากโชว์รูมที่ทองหล่อด้วยเงินสด รวมของแต่งในสนนราคาร่วมล้าน คุยกันถูกคอจนยอมยกรถสุดหวงใส่รถกระบะลงมาให้เราลองขี่กันแบบไม่หวง และ Ducatisti Co.,Ltd. ดีลเลอร์ของ DUCATI ในเมืองไทย ที่ยก Hypermotard เวอร์ชั่นธรรมดา เดิมๆจากโรงงานมาสมทบ ให้เราได้ลองเปรียบเทียบสัมผัสจากรถที่ "ร้อน" ที่สุดสำหรับนักซิ่งสองล้อทั่วโลกที่จับตาดูรถจากค่าย DUCATI พร้อมๆกันทีเดียวสองคันเลยทีเดียว ซึ่งยังไม่เคยมีใครจับรถหรูๆคลาสนี้รุ่นเดียวกัน แต่ต่างเวอร์ชั่นมาทดสอบพร้อมๆกันแบบนี้ ซึ่งข้อดีของการทำเช่นนี้ก็คือ สัมผัสความแตกต่างที่ชัดเจนมากกว่าการมานั่งนึกมโนภาพในใจ แปลตัวหนังสือไปเรื่อยเปื่อยจากบทความของต่างประเทศ ซึ่ง Hypermotard ทั้งสองคันนี้ ผมได้มีโอกาสทดลองขี่มาก่อนหน้าที่จะนำมันมาลงสนามเค้นหาความสุดยอดของมันในครั้งนี้ โดยเฉพาะ Hypermotard S สีดำที่เคยลองขี่ทางไกลๆ บนถนนภูเขาอันอุดมโค้ง รวมไปถึงการขี่ฝ่าดงรถติดในกรุงเทพมหานครอยู่หลายหน มารวมกับการจับมันลงขี่ในสนามปิดอย่าง BRC. ที่สามารถกระแทกคันเร่งพุ่งออกจากโค้งได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีอาการตะขิดตะขวงใจจากเจ้าของรถ ทั้งๆที่อยู่ในสนามด้วยกันทั้งสองคัน
จากประสาทสัมผัสที่มีต่อคำว่ารถ Super Motard ที่คุ้นเคยมาก่อนหน้านี้ ผมคงเลี่ยงไม่พ้นกับประสบการณ์ที่เคยสัมผัสกับรถดัดแปลงจากรถวิบากยัดล้อทางเรียบ ที่มีบุคลิกเด่นชัดในเรื่องของความแรง ความซ่า บนระบบช่วงล่างที่ "ให้ตัว" ได้มากจนสามารถกวาดพื้นถนนด้วยล้อหลังยามที่ต้องการเข้าโค้งด้วยอารมณ์เมามันส์ แต่กับรถในสไตล์ที่ออกจากสายการผลิตโรงงาน DUCATI ซึ่งมีชื่อ Motard ติดตัวมาด้วย ย่อมไม่ธรรมดา และน่าจะแตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยสัมผัสรถสปอร์ทสุดหรูที่กลายเป็นหน้าตาของแบรนด์นี้อย่าง 996 และ 1098 ได้พอสมควร ซึ่งนั่นกลายเป็นโจทย์แรกที่ผมต้องทำการบ้านมาก่อนการขี่เหมือนเช่นทุกครั้งที่ทดสอบรถคันใหม่
Hypermotard มีพัฒนาการมาจากญาติผู้พี่อย่าง Multistrada ที่เคยลองขี่มาแล้วเช่นกัน แต่ Multistrada ออกแบบมาให้เป็นรถเอนกประสงค์ของค่ายนี้ รองรับการใช้งานเดินทางไกล ด้วยโครงสร้างของตัวรถที่วางตำแหน่งอวัยวะบนร่างกายของผู้ขับขี่ไว้ในตำแหน่งที่ "สบาย" แตกต่างไปจากสปอร์ทเรพลิก้าสุดขั้วตัวอื่นๆของค่าย DUCATI เองอย่างเด่นชัด แต่พอนั่งอ่านรายละเอียดของตัวรถ ก็เริ่มเข้าใจในแนวทางการออกแบบ ที่ต้องการตอบโจทย์การขับขี่ในสไตล์ที่ DUCATI เองก็ไม่เคยสร้างรถประเภทนี้วางจำหน่ายมาก่อน แต่มันเป็นสไตล์ใหม่ที่กำลังอยู่ในความนิยม และบังเอิญว่าผมเอง เคยมีประสบการณ์การขี่ Supermotard อย่าง CRF450R และ D-tracker ที่เป็นรถแข่งของทีมพายุ ซึ่งผมเป็นคนเซ็ทรถแข่งเหล่านั้นให้ทั้งนักแข่งห้าคนลงแข่งด้วยตัวเอง จึงน่าที่จะประสานสัมผัสกับ Hypermotard สองคันนี้ได้ไม่ยากนัก โดยการทดสอบครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกของผมที่ "ลอง" มัน และ "ถ่ายทอด" มันออกมาเป็นตัวหนังสือได้ชัดเจนที่สุด
ครั้งแรกที่สายตาสัมผัสกับ Hypermotard คันแรกที่เข้ามาถึงเมืองไทยในปี 2007 ที่โชว์รูมทองหล่อ สร้างความประหลาดใจให้กับผมได้มากทีเดียว ว่าค่าย DUCATI สามารถสร้างรถที่เป็นสไตล์ใหม่ได้ "โดน" ใจไม่ใช่น้อย เพราะรูปร่างโดยรวมเล็กกระทัดรัด ทุกอย่างอัดแน่นอยู่บนตัวรถที่เปลือยให้เห็นโครงสร้างของเฟรมโลหะถักทอไขว้กัน ยึดโชว์เครื่องยนต์มีครีบทรงโบราณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบรนด์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โอบอุ้มบางส่วนด้วยชุดพลาสติคดีไซน์กวนสายตา โดยเฉพาะบังโคลนหน้าที่จะว่าไป มันก็คล้ายกับจงอยปากของนกที่แหลมเรียว มีดวงตาเป็นไฟหน้าเดี่ยวขนาดจุ๋มจิ๋ม สยายปีกเพื่อคอนโทรลการขับขี่ด้วยแฮนเดิ้ลบาร์อวบอ้วน โดยมีชุดไฟเลี้ยวบิวท์อินอยู่ในการ์ดแฮนด์ แถมตอนปลายด้วยกระจกส่องหลังแบบจิ๊กโก๋ ชวนคุณจ่าสงสัยเวลาติดไฟแดง ว่าไฟเลี้ยวและกระจกส่องหลังที่ถูกต้องตามกฎหมายจราจรอยู่ไหน ? แต่ตัวรถโดยรวมออกแบบมาได้เพรียวบางสมส่วน ติดตรงรูปทรงของเบาะนั่งที่ส่วนท้ายยังมองดู "ดีไซน์ไม่จบ" เพราะดันทะลึ่งยึดเบาะไว้ด้วยโบลท์ตัวเขื่อง เจาะระนาบเบาะให้บุ๋มลงไว้ล๊อคเบาะกับซับเฟรมทรงถัก ซึ่งไอ้เจ้ารอยบุ๋มที่ว่านี้น่าจะเป็นจุดส่วนเกินที่คนดีไซน์ไม่น่าจะจงใจให้เป็นตั้งแต่ตอนแรก แต่มันน่าจะหาที่ลงไม่ได้จนต้องแก้ไขด้วยวิธีแบบนี้ และท่อไอเสียที่ดีไซน์ได้เตะสายตาคนรอบข้างพอสมควร เพราะเล่นเปลือยปลายซับเสียง โชว์รูปทรงอวบอ้วนซึ่งส่งเสียง "กระแทก" หัวใจยามบิดคันเร่งได้โดดเด่นไม่เหมือนใครในท้องถนน
ครั้งแรกที่ลองขี่ Hypermotard S บนถนนจากตัวเมืองลำปาง เข้าแจ้ซ้อน ลุยน้ำ ไต่เขาขึ้นบ้านป่าเมี่ยง และอ้อมกลับลำปางทางห้างฉัตรด้วยระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตร ด้วยสภาพเส้นทางที่ "หลากหลาย" และ "แตกต่าง" กันมากทีเดียว มันทำให้ผมขนหัวลุกได้หลายครั้งยามที่ขับขี่แบบจิตใจเหม่อลอย เพราะอัตราเร่งที่ "กระแทกเป็นมา" แต่ถ้าเผลอกำเบรคอย่างที่คุ้นเคยกับรถทั่วไป ก็จะมีอาการหน้าคะมำ เพราะเบรค Monobloc ชุดนี้ทำงานได้ดีเกินความคุ้นเคยของผม แต่ถ้าคุ้นเคยกับมันเมื่อไหร่ จะส่งผลให้การขับขี่ในโค้งไปได้เร็วขึ้น เพราะสามารถเบรคลึก แต่ "เอาอยู่" ได้ดั่งใจปรารถนา และเปิดคันเร่งทะยานออกจากโค้งด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องจัดท่าทางการขับขี่โหนโค้งแบบสวยงามให้ลิงค่าง บ่าง "ชะนี" ข้างทางมอง เพราะระยะความสูงและตำแหน่งการวางเบาะ รวมไปถึงพักเท้าและแฮนเดิ้ลบาร์ที่กำหนดให้ร่างกายผู้ขับขี่ยืดตรง ร่างกายปะทะสายลมที่รุนแรงขึ้นตามความเร็วที่มือเปิดคันเร่ง มันบังคับให้ต้องตื่นตัวตลอดเวลา พร้อมที่จะซ่าได้ทุกขณะจิต ซึ่งความรู้สึกที่ขับขี่บนถนนที่เป็นทางโค้งพับไปๆมาๆ ผมกลับมีความสุขและสบายตัวมากกว่าการหวดคันเร่งแช่ความเร็วบนทางตรงๆยาวๆ เกินยี่สิบกิโลเมตร เนื่องจากความเมื่อยล้าจากการที่ต้องเกร็งคอ ยืดตัวสู้ลมปะทะเพื่อควบคุมรถในท่าทางเดียวเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดความเครียดและเหนื่อยล้ามากกว่าการพลิกตัวยักย้ายส่ายสะโพกบนทางโค้งเสียอีก ซึ่งตาม Performance ของตัวรถที่เคลมไว้ว่าสามารถทะยานขึ้นไปถึงที่ความเร็วเกิน 200 กม/ชม. แต่จากที่ผมพยายามเปิดคันเร่ง กลั้นใจเกร็งตัวฝ่าสายลมก็ทำได้แค่เปลี่ยนตัวเลขแบบดิจิตอลบนเรือนวัดความเร็วให้ไปแตะเลข 2 ในช่วงเวลาแค่อึดใจ เพราะรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงของตัวรถ ที่เริ่มจะ "โหวงเหวง" ไม่เหมือนแช่ความเร็วบนรถสปอร์ทเรพลิก้าหรือสปอร์ททั่วริ่งในระดับความเร็วเดียวกัน
แต่พอมาเปรียบเทียบกับประสบการณ์การขับขี่ในเมืองหลวงในชั่วโมงเร่งด่วน ทำให้ต้องปรับประสาทสัมผัสที่ต้องใช้ในการขับขี่เสียใหม่ เพราะดีไซน์ของกระจกส่องหลังที่ยื่นยาวออกไปจากแฮนเดิ้ลบาร์กลายเป็นจุดด้อยของตัวรถ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคในการขับขี่ เพราะต้องเว้นระยะมุดอยู่พอสมควร ครั้นถ้าไม่เปิดกระจกก็อันตราย แต่ถ้าเปิดก็ต้องเสียสมาธิในการละสายตาจากมุมมองด้านหน้าลงไปเพ่งพิจารณาบนพื้นที่เล็กกระจิ๊ดริดของตัวกระจก และรวมไปถึงอาจเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่กระจกไปเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้ถนนร่วมกับเรา แต่สิ่งที่กลายมาเป็นจุดเด่นที่ทำให้ต้องเปลี่ยนนิสัยการขับขี่กลายเป็นคนที่ "เปรี้ยว" ในสายตาคนใช้ถนนร่วมกันก็คืออัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดตั้งแต่รอบการทำงานต่ำๆ มุมหักเลี้ยวที่ทำงานสัมพันธ์กับการใช้คันเร่งและจุดเบรคที่แม่นยำ สามารถทำให้เราไปได้เร็ว และสนุก จนลืมมองกระจกส่องหลัง ซึ่งปัญหาเรื่องกระจกส่องหลังนี้ สามารถแก้ไขด้วยการลืมมันไปซะว่ามีกระจกข้างแฮนเดิ้ลบาร์ แต่ต้องหาอุปกรณ์ตกแต่งที่เป็นขายึดโครงกระจกบนแฮนเดิ้ลบาร์แบบรถรุ่นอื่นอย่าง Monster มาใส่แทน
รูปแบบการขับขี่ที่สามที่มีโอกาสได้ลองในสนามแข่ง ซึ่งเป็นที่ๆสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของรถทั้งสองเวอร์ชั่นได้อย่างชัดเจน ว่าอุปกรณ์ที่แตกต่างกันบนตัวรถ ซึ่งส่งผลให้ราคาแตกต่างกันไปหลักแสนบาท สามารถทำให้เรารู้สึกแตกต่างกันได้ขนาดไหน โดยที่การทดสอบในสนามทุกรอบของการขี่ทั้งสองคัน ผมพยายามใช้ไลน์ในการขับขี่ จุดเบรค จุดเปิดคันเร่งที่เหมือนกัน เพื่อที่จะได้ง่ายในการใช้ประสาทสัมผัสเปรียบเทียบหาความแตกต่างของรถทั้งสองคัน ซึ่งสามารถรู้สึกได้เลยว่า จุดที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดก็คือ ระยะเบรค ที่เวอร์ชั่น S สามารถสั่งได้ดั่งใจมากกว่า และการดูดซับแรงเหวี่ยง แรงสะเทือนของระบบช่วงล่างที่แบรนด์เนมอย่าง Ohlins สามารถทำให้เวอร์ชั่น S ขี่ได้สนุกกว่า เกาะพื้นแทรคได้หนึบกว่าโดยการทำงานของยางต่างแบรนด์ที่ประสิทธิภาพค่อนข้างต่างกัน เพราะแทบไม่ต้องคอยพะวงจากอาการขาดๆ เหลือๆ ของการซับแรงกระทำจากพื้นแทรค โดยที่รถทั้งสองเวอร์ชั่นที่ทดลองขี่ ยังไม่ได้มีการปรับตั้งช๊อคอัพเหมือนกัน และมันยังคงค่าการปรับตั้งเดิมๆเหมือนที่เพิ่งออกมาจากโรงงานผลิตที่โบโลญย่านั่นเอง
อัตราเร่งที่เวอร์ชั่น S ทำได้ดีกว่าเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากน้ำหนักของตัวรถที่ถูกลดน้ำหนักไปจากสเป็คของอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นล้อที่เบากว่า ซึ่งส่งผลต่อแรงเหวี่ยงหนีน้ำหนักในขณะที่ล้อหมุนได้ว่องไวกว่า สัมพันธ์กับระบบช่วงล่าง รวมไปถึงการเปลี่ยนท่อไอเสียและกล่องควบคุมใหม่ เพื่อคำนวนการจ่ายน้ำมันและไฟจุดระเบิดให้สัมพันธ์กันกับท่อสูตรที่ "โล่ง" กว่าของเดิมๆติดรถ และการถ่ายทอดกำลังผ่านชุดคิทของระบบคลัทช์แห้งที่ "จับ"ม้าจากเครื่องให้ลงสู่สเตอร์หน้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่านั่นเอง
สนนราคาค่าตัวที่ต้องกำเงินไปแลกกับภาพลักษณ์ที่จะทำให้คุณ "เด่น" บนถนนได้อย่างแตกต่าง ต้องเตรียมปัจจัยเริ่มต้นที่เจ็ดแสนกว่าๆ เพราะถ้าคิดจะขี่แบบเดิมๆ คุณก็ต้องยอมรับฟังเสียงล้อเลียนของเพื่อนๆร่วมก๊วนที่โห่ฮิ่ว วี๊ดวิ้ว ยุแหย่ให้ยัดชุดคิทเพิ่มเสริมความหล่อ ซึ่งราคาค่างวดของชุดคิทแต่ละอย่างของรถตัวนี้ต้อง "เบิกใหม่" ในราคาที่อยู่ในเซ็ทที่ "เริ่มต้นหล่อ" ก็ต้องว่ากันหลักแสนบาทขึ้นไป แต่ถ้าคิดจะซื้อตัวนี้มาขี่ซะอย่าง เรื่องเงินคงไม่ใช่ปัญหากวนใจเท่าไหร่นัก แต่อย่าลืมลองคิดคำนวนดูให้ดีๆ เพราะหลายคนที่ซื้อไป แล้วมักต้องควักปัจจัยจบคอร์สที่หลักเฉียดล้านกันแทบทุกคน ซึ่งถ้าคุณมั่นใจก็อย่ารีรอที่จะก้าวเข้าไปที่โชว์รูม สอยมันมาซักคัน แต่อย่าลืมเตรียมใบเสร็จสำรองไว้โชว์เจ้าของเงินตัวจริงที่บ้านก็แล้วกันครับท่าน !
****
Rider 11 's Comments
ผมเองได้มีโอกาสขี่เจ้าตัวนี้บ่อยอยู่เหมือนกันเลยค่อนข้างจะมีความรู้สึกในรายละเอียดมากหน่อย บอกได้เลยว่าเจ้า Hypermotard นี้ มันไม่ใช่รถ Off road หรือ Super Motard แต่มันคือ Road bike ที่หน้าตาออกแนว Motard นั่นเอง ดังนั้นอย่าคิดจะเอาไปโดดเนินแบบรถโมโตครอสเพราะน้ำหนักตัวรถและระบบกันสะเทือนไม่ได้ออกแบบมาให้ขี่แบบนั้น (โดดขึ้นหน่ะพอได้ แต่ถึงพื้นแล้วเหลือไม่เท่าเก่าอย่ามาหาว่าไม่เตือนนะครับพี่น้อง)
แนวทางการออกแบบของรถรุ่นนี้คือเน้นใช้งานในเมือง โดดเด่นแหวกแนวด้วยดีไซน์รูปลักษณ์ คล่องแคล่วว่องไวด้วยท่านั่งและความเบาของตัวรถ จี๊ดจ๊าดดั่งใจนึกด้วยกำลังเครื่องที่ Ducati เคลมว่าเป็นโมเดลที่อัตราเร่งจัดจ้านที่สุดที่ใช้เครื่อง 2 วาล์ว เอาหล่ะมาดูกันว่าฟิลลิ่งที่ได้จากการขับขี่ในแบบของผมจะเป็นยังไง
ถ้าใครไม่เคยขี่รถสไตล์วิบากหรือโมตาร์ดอาจจะต้องปรับตัวพอสมควรกับท่านั่งที่แตกต่างกับรถถนนทั่วไปค่อนข้างมาก คือแฮนด์กว้าง ระยะเอื้อมแขนน้อย เบาะสูงเหมือนนั่งอยู่บนถังน้ำมัน แต่เมื่อคุ้นเคยกับมันจะสนุกกับการขับขี่โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองเพราะว่าท่านั่งอยู่ในตำแหน่งที่คุมรถได้ง่ายและรวดเร็วว่องไว ยิ่งคุ้นกับรถยิ่งสนุกกับการขับขี่ กำลังเครื่องที่มาแบบรวดเร็วและรุนแรงสะใจขนาดที่ยกล้อได้แม้จะเป็นเกียร์สามโดยไม่ต้องใช้คลัทช์ ซึ่งนี่คืออารมณ์ของรถโมตาร์ด เบรกให้ความเชื่อถือได้ตามฉบับ Brembo ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวธรรมดาก็สั่งได้อย่างที่ใจต้องการ ในกรณีที่ต้องขี่ในสนามคงต้องปรับตัวกันอีกครั้งเพราะถ้าจะขี่กันแบบ Hang on เอาเข่าลงมาครูดพื้นสนามเล่น ก็ต้องมีการปรับท่าทางกันอีกพอสมควรเพราะช่วงแขนที่ใกล้รถมากบวกกับระยะห่างระหว่างพักเท้ากับเบาะค่อนข้างมากทำให้การโหนตัวเข้าโค้งจะเป็นท่าที่ประหลาดพอสมควร (ถ้ามองจากมุมสูง ผมว่ามันคล้ายไก่ย่างที่ถูกเสียบไม้ยังไงยังงั้น) แต่เช่นเคย พอเริ่มคุ้นเคยความมันส์ก็บังเกิดอีกครั้ง ด้วยอัตราเร่งแบบพุ่งกระฉูดการยกล้อออกจากโค้งกลายเป็นเรื่องขนมไปเลยสำหรับไอ้จิ๊กโก๋ตัวนี้ อีกจุดหนึ่งที่น่าประทับใจคือท่าทางการขับขี่ ด้วยท่านั่งสไตล์โมตาร์ดทำให้ท่าทางการเข้าโค้งทำได้ทุกแบบไม่ว่าจะเป็น เอียงไปกับรถแบบเซฟตี้, โหนแบบเรซซิ่ง หรือแม้แต่ lean out สไตล์ออฟโรด แต่ส่วนตัวผมขอเลือกแบบเรซซิ่งตามสไตล์ดูคาติดีกว่า ระบบกันสะเทือนทำงานในสนามทางเรียบที่มีโค้งหลากหลายได้หนึบราวกับรถสนาม จุดนี้ทำให้สามารถยืนยันได้อีกครั้งว่ามันคือรถถนน/รถสนาม ไม่ใช่รถที่จะเอาไปลุยฝุ่นลุยป่าโดนเนินแน่นอน
ความแตกต่างในการขับขี่ที่รู้สึกได้เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น S อย่างแรกเลยคือฟิลลิ่งเบรก ถึงแม้จะเป็น Brembo เหมือนกันแต่ Monobloc ในเวอร์ชั่น S ให้กำลังเบรกที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด (มาก) และสามารถคอนโทรลความ “เนียน”ของเบรกได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว นั่นทำให้สามารถพารถยัดเข้าโค้งแรงๆ แล้วเบรกลึกๆ ได้เหมือนกับรถสปอร์ต แต่ข้อดีข้อนี้ค่อนข้างจะเป็นอันตรายสำหรับมือใหม่ขี้ตกใจพอสมควร เพราะอาจจะทำให้ล้มที่ความเร็วต่ำได้ง่ายๆ
ต่อมาคือล้อ Forged ของตัว S ที่น้ำหนักเบากว่า ทำให้สามารถพลิกรถได้เร็วกว่า โดยจะเห็นได้ชัดเวลาที่เบรคลึกๆ แล้วต้องพลิกรถทันทีหรือเมื่อพลิกรถกลับไปมาช่วงผ่านโค้งเอส ล้อที่น้ำหนักเบากว่าทำให้ผู้ขี่ใช้แรงและเวลาในการโยกรถน้อยกว่า ซึ่งจาก 2 ข้อข้างต้นทำให้เวอร์ชั่น S นั้นเข้าโค้งได้ “คม” กว่าและ “พริ้ว” กว่าถ้าต้องการความคล่องตัว ร่วมถึงความมั่นใจที่มากกว่าเมื่อจะพามันไปดริฟท์เล่น
โช้คของตัว S ให้ความรู้สึกที่แข็งกว่าซึ่งเป็นจุดอ่อนสำหรับการขี่ในเมืองหรือขี่ทางไกล เนื่องจากให้ความนุ่มนวลน้อยกว่า แต่ถ้าเล่นโค้งในสนามหรือบนเขา มันให้ความรู้สึกที่หนึบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่เพิ่มมาสำหรับรถเวอร์ชั่น S ตัวนี้คือท่อสูตรแบบ Slip-on ที่ให้เสียงโหดเร้าใจโดยยังคงปลายท่อไว้บริเวณใต้เบาะเหมือนท่อติดรถ (แต่ถ้าเป็นท่อตัวเต็ม Full system จะเป็นท่อเดี่ยวออกด้านข้าง) ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยให้กำลังเพิ่มขึ้นมากแต่มันก็ทำให้การคุมรอบเครื่องง่ายขึ้น ลากรอบได้ยาวขึ้น และที่แน่ๆ มันสวย! ต่อมาคือกันสะบัด ซึ่งผมแนะนำว่าควรเป็นของแต่งชิ้นแรกๆ ของผู้ที่คิดจะเป็นเจ้าของ Hypermotard เพราะมันเป็นรถที่ล้อหน้าลอยเอาง่ายๆ เจ้ากันสะบัดนี่จะช่วยชีวิตคุณได้เลยทีเดียว ส่วนชุดเปลือยฝาคลัทช์นั้นหลักๆ เพื่อความสวยงามและโชว์เสียงของคลัทช์แห้ง
บทสรุปของเจ้า Hypermotard สำหรับผม มันไม่ใช่รถออฟโรดที่จะเอาไว้โดดเนินแน่ๆ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นรถโมตาร์ดมันก็ยังมีน้ำหนักมากเกินไป และถ้าคิดว่ามันเป็น Multistrada เวอร์ชั่นเพรียวบางแล้วจะเอาไปใช้งานทัวริ่งหล่ะก็ผิดถนัด เพราะด้วยถังน้ำมันขนาด 12.4 ลิตร ถ้าไปในพื้นที่กันดารหาปั๊มน้ำมันไม่ได้ในระยะ 160-180 กิโลเมตร คุณได้ลุ้นกินข้าวลิงข้างทางแน่นอน สำหรับผมไอ้จิ๊กโก๋ปากแหลมคันนี้เป็นรถ Road bike หน้าตาแหวกแนวสไตล์โมตาร์ดที่เหมาะจะเอาไว้จี๊ดจ๊าดในเมือง มันจะพุ่งปรี๊ดออกจากไฟแดงได้แบบไม่มีทางแพ้ใคร และสามารถนำไปสาดโค้งเล่นบนเขาหรือในสนามได้อย่างสนุกมือ แถมยังเอาไว้เล่นสตั๊นท์โชว์ลีลามันส์ๆ ได้ด้วย ถ้าคนพร้อม, ใจพร้อม, ตังค์พร้อม ...จัดไป!
****
|