สัมภาษณ์พิเศษ
: สุกี้
กมล สุโกศล แคลป์ป Dream Chaser #2
กับผู้ชายธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งของเมืองไทย
ที่นับว่าเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างของคนทั่วไป ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการดนตรีของเมืองไทย
เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องให้เครดิตว่าเป็นผู้พลิกโฉมหน้าและเปิดบันทึกหน้าใหม่ให้กับวงการดนตรีของเมืองไทย
แต่ในวันนี้ คุณสุกี้หันมาหาสิ่งใหม่ในชีวิต นั่นคือการขี่มอเตอร์ไซค์และทำรายการทีวี
คืนนี้, มีแค่ คุณสุกี้ และ สตอร์มไรเดอร์ เท่านั้น ที่จะมาพูดคุยกันอย่างหมดเปลือก
ทุกซอกทุกมุม ของผู้ชายคนหนึ่งกับแรงบันดาลใจที่กลายมาเป็นพลังผลักดันให้พลิกผันมากระโดดคร่อม
หย่อนตูดลงบนเบาะสองล้อและท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเมืองไทยและอินโดจีน บทสัมภาษณ์กินเวลาค่อนข้างยาวนานกว่า
3 ชั่วโมง จริงๆ อยากเรียกว่าเป็นการสนทนากันเสียมากกว่า ดังนั้น เราจึงคัดบางส่วนเพื่อมาเล่าให้ฟังกันในที่นี้
แต่..รับประกันได้ว่า เนื้อความจากการสนทนาที่ได้นำมาลงนี้ จะคงความเป็นต้นฉบับหรือจากบทสนทนาจริง
ทุกบทสนาที่นำมาลงนี้ 100% ไร้การตกแต่งใดๆ เพื่อให้เราได้รู้จักตัวตนของคุณสุกี้จริงๆ
(ยกเว้นการย่อให้สั้นลงในบางประโยคเพื่อให้เป็นภาษาเขียนครับ) ย้ำอีกครั้งครับว่าเป็นการพูดคุยกันแบบเพื่อนซะมากกว่า
ดังนั้น หลายๆ สิ่งอย่างๆ อย่างจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากๆ ซึ่งจะได้อรรถรสมากกว่าการดัดแปลงเสริมแต่งใดๆ
ผู้สัมภาษณ์: Storm Riders
ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณ
สุกี้ กมล สุโกศล แคลป์
ณ.มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
ช่วงเวลาค่ำๆ ในคืนวันฝนตกของวันพฤหัสบดี ที่ 22 พค. 2008 ที่ผ่านมานี้ นับเป็นโอกาสที่ดีที่สตอร์มไรเดอร์สได้มีโอกาสนัดแบ่งปันประสบการณ์กับคุณสุกี้
ที่น้อยคนจะได้มีโอกาสมาสัมผัสผู้ชายหัวใจสองล้อคนนี้ในมุมที่หาอ่านบทสัมภาษณ์ลักษณะนี้ไม่ได้จากที่อื่น
เพราะคุณสุกี้ยืนยันกับเราว่า ไม่ต้องตัดแต่ง ลงไปเลยแบบเดิมๆนั่นแหละดีที่สุด ...หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว..คุณสุกี้ก็หันกลับมาคุยกับเราต่อ..ด้วยใบหน้าที่ยังยุ่งเหยิง
จากคิวงานสัมภาษณ์ที่แน่นเอี๊ยดภายหลังกลับจากทริปขี่รถจากไทย-ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา
ในชื่อโครงการ Dream Chaser
สตอร์มไรเดอร์: “เดี๋ยว หลังจากนี้ พี่ก็เข้าบ้านเลยใช่มั้ยครับ?”
คุณสุกี้: “เข้าบ้านๆ แต่ พรุ่งนี้อีก 10
เล่ม”
สตอร์มไรเดอร์: โอ้โหพี่ ทำไมเยอะอย่างนี้ล่ะครับ
คุณสุกี้: คือ..ส่วนใหญ่จะเป็นสายข่าว ไทยรัฐ
เดลินิวส์ อะไรเงี้ยะ เต็มไปหมดเลย
สตอร์มไรเดอร์: เกี่ยวกับ Dream Chaser อย่างเดียวเลย
คุณสุกี้ : ครับ เกี่ยวกับ Dream Chaser เพราะวันที่สองนี้เราจะออนแอร์
ก็เลยต้องรีบไปโปรโมทก่อน แต่มันก็ตลก เพราะทุกที่ก็ถามคำถามเหมือนๆ กัน มันตอบจนเราไม่ต้องคิดแล้วล่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ให้ผมเดานะพี่ ... เค้าคงจะถามว่า..มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ
อะไร ต่อมิอะไร เป็น pattern มากๆ ใช่มั้ยครับ?
คุณสุกี้: อือๆ ใช่ๆ เหมือนๆกัน โอ้...แมน...(บิดขี้เกียจเพราะเหนื่อยและเมื่อยสุดๆ
จากการให้สัมภาษณ์มาทั้งวัน)
สตอร์มไรเดอร์: ขี่มอไซค์ไม่เมื่อยเท่านี้ใช่มั้ยครับ
คุณสุกี้: ไม่เมื่อยนะ คือวันนี้มันไปทั้งวันๆ
แล้วเราก็เริ่มอายตัวเองที่ต้องพูดอะไรๆ เหมือนเดิม คนที่หกนี่ Mang ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ
(หัวเราะอารมณ์ดี) แต่มันก็อย่างงั้นแหละมันก็ต้องทำ มันเป็นเรื่องปรกติ ก็ต้องทำ
สตอร์มไรเดอร์: ตอนที่พี่เป็นศิลปินอยู่บนเวทีเนี่ย
ความสุขของเราคือมาจากการที่คนดูจำนวนมากๆ มีส่วนร่วมและสนุกไปด้วยกัน แต่กับมอเตอร์ไซค์เนี่ย
ความสุขมาจากแค่บางครั้งการที่เราผ่านเหตุการณ์อะไรซักอย่างมาได้ แต่เป็นแค่ตัวเราคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสและชื่นชมมัน
พี่อยากจะเล่าความแตกต่างของความรู้สึกนั้น ให้กับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมันยังไงครับ?
|
คุณสุกี้: ผมมองอย่างนี้นะ ผมอธิบายอย่างนี้ละกัน
เวลาผมเล่นดนตรี มันเป็นวง มีสี่คน แล้วผมจะบอกอยู่ตลอดเวลาว่า...ไอ้ช่วงที่มันสุดยอดที่สุดคือ
ช่วงที่มัน Sync กัน มันเล่นกันสี่คน แล้วมันเข้ากัน มันรู้จักกันจนไม่ต้องคิด คือมันเหมือนกับสี่คนเป็นหนึ่งเดียว
มันสุดยอด มันเหมือนกับที่.......อยู่น่ะ แต่บางที มันก็ไม่ sync กันนะ คือมันไม่ไหว
มันใม่ใช่ คือ Ku อยากจะลงเวทีแล้ว Ku ไม่ไหว คือผมกำลังจะบอกว่า ซึ่งเดี๋ยวคุณก็ต้องเห็นด้วยกับไอน่ะ
คือตอนที่เราขี่มอเตอร์ไซค์ มันมีอยู่สามอย่าง คือมันมีเรา มีรถ และก็มีถนน แล้วบางทีมันไม่
sync น่ะ ใช่มั้ย คือมันเป็นอะไรวะ วันนี้นะ มันมีวันที่มันไม่ใช่นะ แต่ถ้าวันไหนที่มันใช่น่ะ
คือวันนั้นเราไม่ต้องคิดอะไร มันสนุก มันลงตัว คือสมองมันไม่ต้องคิดอะไรแล้วน่ะคือมันคลิ๊กน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: สิ่งที่ต่างคือ การเป็นนักดนตรี
รางวัลของความสำเร็จคือคนดู เสียงตอบรับ แต่กับมอเตอร์ไซค์ นอกจากเสียงคัดค้านแล้ว
รางวัลกลับเป็นแค่สิ่งที่เราภูมิใจกับความสำเร็จของเราอยู่คนเดียว ที่คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเลย
คุณสุกี้: คุณเคยไปเส้นแม่สอด
ที่มันจะไปอุ้มผางหรือยัง ที่มันจะมี โค้ง โค้ง
สตอร์มไรเดอร์: โค้งไร้สาระ โค้งไม่มีที่สิ้นสุด
คุณสุกี้: ใช่ โค้ง แคบๆ
สตอร์มไรเดอร์: กรวดลอย ไม่มีตัวช่วย
คุณสุกี้: เออๆ ไม่มีตัวช่วย คือมันสนุกน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีรถสวน
คุณสุกี้: โค้งจนอิ่มเลย ผมรู้ละ ว่าจะตอบยังไง
คุณเคยไปสวนสนุกใช่มั๊ย สมมติคุณจ่ายร้อยบาท เพื่อที่จะขี่ Roller Coaster ห้านาทีจ่ายร้อยบาท
Mang ห้านาทีหมดแล้ว ทีนี้ คุณลองนึกดูสิ ว่ามันเหมือนคุณขี่ Roller Coaster แปดชั่วโมงน่ะ
เข้าใจใช่มั้ย คุณก็ลองไปนึกดูดิ ว่ามันสนุกขนาดไหน
สตอร์มไรเดอร์: แต่ของที่พี่ไปเนี่ย ก็มีรถเซอร์วิส
ใช่มั้ยครับ
คุณสุกี้: ปีนี้ มันไม่มีรถเซอร์วิสน่ะ คือเป็นรถของทีมงาน
ตากล้องน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: งั้นก็ฝากความหวังอะไรไม่ได้มากต้องช่วยตัวเองตลอด
คุณสุกี้: ตอนที่ผมไม่ได้ถ่ายทำ ผมจะขี่ไปเลยคนเดียว
โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ได้ถ่ายทำ ถ้าผมไปขี่เที่ยวเนี่ย ผมจะไปคนเดียว
สตอร์มไรเดอร์: แล้วมันต่างกันมั้ยครับ กับการที่เรารู้สึกว่ามีทีมงานอยู่ข้างหลัง
เพื่อคอยช่วย
คุณสุกี้: สำหรับผม มันไม่ค่อยต่างนะ เวลาที่เราเจอปัญหา
คือมีอยู่ปีนึง ที่ผมไปแถวแม่สะเรียง แม่สอด ผมไปคนเดียว แล้วผมก็โง่ไง คือผมดันไปหน้าฝน
คือตอนนั้นเพิ่งได้ ไทเกอร์มา
สตอร์มไรเดอร์: ไทรอัมพ์ ไทเกอร์ใช่ไหมครับ
คุณสุกี้: ใช่ๆ คือตอนนั้นเพิ่งได้มา วันแรกที่ผมไปน่ะ
ผมไปถึงแม่สะเรียง แล้วก็จะไปแม่สอด แล้วก็เจอตำรวจไล่ ไอ้ผมก็ทำไมวะ เราทำอะไรวะ
คือตำรวจเค้าบอกว่าทางมันไปไม่ได้ เพราะทางมันขาด ผมก็เลยขี่กลับไปแม่สะเรียง ไอ้วันต่อไปเราก็คิด
ก็ Ku จะไปอ่ะ ก็เลยไปใหม่ ก็ไปถามตำรวจเค้าอีกที ว่าไปได้รึยัง เค้าก็บอกว่าได้
ไอ้เราก็โอเค ก็ไปแต่ไปแค่ไม่ถึงชั่วโมงน่ะ ฝนมันตก ตกแบบว่าตกลงมาแบบ hear hear
น่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ฝนหรือดินครับ
คุณสุกี้: ฝนๆ มันก็แบบเรามาขนาดนี้แล้ว
ไปต่อก็ละกัน ทีนี้สิ ดินมันเริ่มมาแล้วไง แล้วตอนมันเจอดินเนี่ย คือรถมันสูงไง
ก็ขี่ไปลำบากก็เลยต้องลงเดินมาจูง แล้วมันก็ถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้แล้วไง
สตอร์มไรเดอร์: เป็นดินหนังหมู
คุณสุกี้: มันลื่นมากไง ผมก็จอดรถ ลงมานั่งคอย
นั่งอยู่คนเดียวเนี่ยแหละ นานๆทีผมจะกลัวนะ คือมันไม่มีใคร และมันก็เริ่มมืดแล้วไง
แล้วในที่สุดก็มี ถ้าไม่พม่าก็กะเหรี่ยง คือพูดภาษาไทยไม่เป็น สุดท้ายผมก็ต้องเจอคนช่วยนะ
สุดท้ายเค้าก็ช่วย มันจะต้องมีคนช่วยทุกทีน่ะ เค้าก็ช่วยเรา
สตอร์มไรเดอร์: สองคนนั้นไม่น่าจะรู้จักแน่นอน
ว่าคือ คุณสุกี้ เบเกอรี่มิวสิค
คุณสุกี้: เออๆ ไม่รู้ๆ ไม่รู้แน่นอน คือตอนแรกที่ผมเห็นน่ะ
เค้าก็มีมีดไง ตอนแรกผมก็... SHIT! ชิบหายแล้ว เค้ามีมีดกันมาคนละเล่ม ผมก็ F….K
อะไรวะโดนปล้นอีกไม่ไหวนะเว้ย แต่สุดท้าย เค้าก็มาช่วยกันดันรถน่ะ ก็มีคนช่วยทุกที
จากประสบการณ์ผมนะ และมีอยู่ครั้งนึง คือผมมี V MAX มือสอง มันก็เก่าแล้วล่ะ เสียนู่น
เสียนี่ แล้วมีอยู่ครั้งนึง คือผมจะไปต่างจังหวัด ที่นี่พอไปถึงรังสิตนี่แหละแล้วมันก็ดับ
มันไปไม่ไหวแล้วล่ะ ก็ต้องเอารถกลับกรุงเทพไง ผมก็ นึกถึงที่เวลามอเตอร์ไซค์เค้าเสีย
แล้วเค้าถีบกันไปใช่มั้ย ผมก็ไปถามวินแถวนั้น เค้าก็หันมามองรถแล้วบอกว่า "ไม่เอาพี่" แต่สุดท้ายก็มีคนนึงนะ
ผมก็ถามว่าจะเอามั้ย ถีบไปส่งผมที่กรุงเทพ เดี๋ยวผมให้ตังค์ เค้าก็ตอบว่า "เอาพี่" จากรังสิตน่ะ
เค้าก็ไป
สตอร์มไรเดอร์: เค้าขี่รถอะไรครับ
คุณสุกี้: เค้าก็ขี่รถเล็กธรรมดาเนี่ยแหละ
และเค้าเก่ง Ship หายเลยนะ เค้าขี่ไป ถีบไป แล้วยังคุยมือถืออีกมือนึงน่ะ ขนาดช่วงขึ้นสะพานก็ยังถีบผมไปได้นะ
ส่งผมจนถึงที่ ผมก็ถามว่า "เท่าไหร่น้อง" เค้าก็ตอบว่า " สามร้อยบาทครับพี่" ผมก็ "เฮ้ย
... สามร้อยเองเหรอ" ผมเลยให้ไปห้าร้อย คือเวลามันจะเจออะไร มันต้องมีคนช่วยทุกทีน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: เป็นสิ่งพวกนี้มั้ยที่ทำให้พี่สนุกกับการขี่มอเตอร์ไซค์
ถ้าไม่ขี่มอเตอร์ไซค์มันก็ไม่เจอน่ะ
คุณสุกี้: ผมสนุกกับการที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สตอร์มไรเดอร์: ผจญภัย
คุณสุกี้: อือ....การที่คาดเดาไม่ได้ แต่ถึงวันนี้ก็ยังรอดน่ะ
ตั้งแต่ขี่รถในเมืองไทยมา คราวที่ผมกลัว ก็คือไอ้คราวที่ดินถล่มนั่นไง คือมันเริ่มค่ำด้วยไง
แล้วไอ้เส้นนั้นมันก็ไม่ค่อยมีใคร โอ้...SHIT เอาไงดี มีครั้งนั้นแหละที่ผมหวิวๆ
ผมสนุกกับการหาน่ะ คือลี้ยวผิดก็ย้อนกลับมา โดยเฉพาะในเมืองไทยนะ คือผมไปมาหลายประเทศนะ
ผมว่าคนไทยนิสัยดี คือช่วงก่อนที่ผมจะเดินทางไปต่างจังหวัด ผมคิดอีกแบบนะ แต่พอผมเริ่มออกต่างจังหวัดใหม่ๆ
ความรู้สึกดีๆ มันกลับมานะ จะต้องมีคนช่วยน่ะ ผมเคยน้ำมันหมด ก็ไอ้ V MAX hear นี่แหละ
เป็นอะไรอยู่เรื่อยเลย หนักก็หนัก เบรคก็เลว เข้าโค้งนี่ลืมไปเลยน่ะ มันน่ากลัว
ก็มีอยู่หนนึงที่ผมน้ำมันหมด ผมก็เจอชาวนา ผมก็ถาม ลุงๆ มีอู่มั้ยน่ะข้างหน้าน่ะ
ลุงก็ตอบว่ามี ผมก็ถามว่า แล้วลุงมีเชือกมั้ย ลากผมไปหน่อย เค้าก็ลากผมไปนะ ไปจนถึงแถวๆ
เมืองน่ะ ไอ้เส้นไปน้ำตกไทรโยคน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: แล้วยังอยู่มั้ยครับ V MAX
คันนั้นน่ะ
คุณสุกี้: อยู่ครับ คือผมชอบมันมากนะ คือทุกคนจะถามผมว่า
ทำไมผมถึงชอบขับคันนี้ ผมก็จะบอกว่าเครื่องยนต์มันไม่เหมือนใคร มันไม่ใช่รถที่เจ๋งนะ
แต่มันดิบๆ เถื่อนๆ แล้วมันเป็นรถที่ออกมา 25 ปี แล้วไม่ค่อยเปลี่ยนแบบ ผมเรียกมัน
เดอะ Monster ไอ้โหด มันหนัก โคตรหนักเลย แต่ก็ชอบมันนะ มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ
สตอร์มไรเดอร์: คนทั่วไปน่ะ รู้จักคุณสุกี้
คือผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารค่ายเพลง นักร้องนักดนตรี แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ทีนี้ คุณสุกี้คิดว่า
ภาพที่จะให้คนทั่วไปมองคุณสุกี้ หรือ อยากให้คนทั่วไปรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณสุกี้ยังไง?
คุณสุกี้: ผมเพิ่งเจอคำถามนี้จากนักข่าวคนนึงวันนี้แหละ
คือเค้าถามผมว่าอยากให้ออกมาเป็นดนตรี หรือ มอเตอร์ไซค์ ผมบอกเค้าไปว่า ไม่ว่าจะเป็นดนตรี
หรือ มอเตอร์ไซค์ อะไรก็ได้ แต่อยากให้คนมองเราว่า เวลาที่เราทำอะไรแล้วเราจริงใจกับมันน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ดนตรีหรือมอเตอร์ไซค์ไม่เกี่ยว
คุณสุกี้: ไม่เกี่ยวๆ คือเราจริงใจกับมันน่ะ
อย่างตอนที่ผมทำเบเกอรี่ คนก็มอง ว่าเด็กรวยมาทำค่ายเพลง แล้วผมก็แบบว่าคนมีเงินเค้าไม่มาทำสิบสามปีติดกันหรอก
ยิ่งได้ช่วงวิกฤติน่ะ หนี้สินผมเกือบร้อยล้านนะ เพราะ ผมเก็บตังค์ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้
ผมไม่เคยขอเงินจากแม่เลยนะ ผมก็ยังทำกันเกือบเจ๊งน่ะ เกือบเจ๊ง ตั้งหลายที สุดท้าย
ผมก็ต้องขายให้ฝรั่งไป ให้ฝรั่งมาถือหุ้นครึ่งนึง คือผมก็ไอ้ha คือ คนมีตังค์เค้าไม่มาทำกันน่ะ
เค้าเลิกกันไปนานแล้ว ก็ช่วงที่ไม่มีตังค์นั่นน่ะ ผม บอย (คุณบอย โกสิยพงษ์) สมเกียรติ
(สมเกียรติ ซีมิกซ์) เอา เครดิตการ์ดของแต่ละคน มาหมุนๆ กัน คือดึงเงินออกมาหมุนๆ
กันน่ะเพราะมันไม่เงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน
สตอร์มไรเดอร์: เป็นเรื่องที่คนไม่รู้
คุณสุกี้: คนไม่รู้เลย จนเมื่อผมเขียนหนังสือเมื่อปีก่อน
เค้าถึงได้รู้กัน
สตอร์มไรเดอร์: เป็นภาพที่คนภายนอกไม่รู้
คุณสุกี้: ใช่ๆ ผมเองก็เพิ่งมารู้ว่าคนไม่รู้
อย่าง ไทรอัมพ์ คิงดอม ก็ออกมาเพราะไม่มีตังค์น่ะ เป็นช่วงวิกฤติน่ะ ก็ได้ไทรอัมพ์
คิงดอมนี่แหละมาช่วย คือตอนนี้ ที่เรามาทำตรงนี้เนี่ย คือไม่อยากใช้คำว่าธุรกิจนะ
คือถ้าสิ่งที่เราทำ เราจริงใจกับมันแล้วเราไม่ได้ไปต้มใครน่ะ อย่างตอนนี้น่ะ ที่จะออนแอร์
ผมน่ะล้มเละเลยคือเราไม่ใช่เป็นคนขี่วิบากไง อย่างตัวอย่างที่จะทำส่งให้ช่องสามน่ะ
ผู้กำกับเค้าก็ใจดำนะเค้าก็เอาช็อตที่ผมล้มน่ะมาออกอากาศ (หัวเราะอารมณ์ดี)
สตอร์มไรเดอร์: แต่ในข้อดีของพี่ มันก็มีข้อเสียตามมา
คือ มีชื่อเสียง มีตังค์แล้ว ขี่รถเอาสนุกอย่างเดียวหรือเปล่า
คุณสุกี้: มันสลัดไม่หลุดหรอกฮะ คือสมัยก่อนใช้คำว่าตระกูลผมมันมาอย่างนี้น่ะ
มันสลัดไม่หลุด อย่างตอนแรกที่ผมทำค่ายเพลง ก็มีคนพูดอย่างนี้ ผมก็พอเข้าใจนะไอ้
ha สิบห้าปีผ่านไปคนก็ยังพูดอย่างนั้นอยู่ มันก็เลยทำให้ผมมามองว่ามันสลัดไม่หลุด
แต่บทสรุปที่ผมได้มา ก็คือว่ามันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเค้ามองเรายังไง แต่มันอยู่ที่เราน่ะว่าจะมองตัวเราเองยังไง
ถ้าเกิดเรามองตัวเราเองให้ถูกนะ .คนอื่นจะยังไงก็ช่าง mang สิวะ
สตอร์มไรเดอร์: ถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง
คุณสุกี้: ใช่ คือ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ใครจะพูดอะไรมา เราก็ไม่สนน่ะ แต่สมัยเด็กๆ ผมสนนะ ผมเคยจะไปชกนักข่าวทีนึงน่ะ คือ...
F…K มึงเขียนอะไรวะ แต่ตอนนี้ก็คือมันสลัดไม่ออก มันหนีไม่ออก คือ มันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เราหาจุดยืนตัวเองให้เจอ ถ้าเกิดเรารู้จุดยืนเรา คือถ้าไม่ลอง มันก็ไม่รู้สิวะ
สตอร์มไรเดอร์: นี่คือสิ่งที่พี่พยายามจะบอกผ่านสิ่งที่พี่ทำ
ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือมอเตอร์ไซค์
คุณสุกี้: ใช่ ผมมองว่า ผมเป็นคนสนใจจิตวิทยาคน
ผมเรียนรู้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเองและข้อดีของมอเตอร์ไซค์กับดนตรีมันดีตรงไหนรู้มั๊ย
มันมั่วไม่ได้ไง โอ๊ยพี่ ผมเล่นมาแล้ว หรือ ผมแข่งมาแล้ว อ่ะ.. ไหนลองเล่นให้ผมดูซิ
ผมชอบตรงนี้ไง คือมันมั่วไม่ได้น่ะ เหมือนมอเตอร์ไซค์น่ะ คือมันหลอกกันไม่ได้
สตอร์มไรเดอร์: ถ้าสรุปอย่างนี้ได้มั้ยครับ
คือ ที่คนภายนอกมองก็คือ ไฮโซ มีเงิน ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ ในขณะที่หลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำ
แต่หลายๆ คนที่ไม่ได้สัมผัสพี่จริงๆ จะไม่รู้ว่าพี่เจออะไรมาบ้าง เจอความลำบากอะไรมาบ้าง
คุณสุกี้: สิ่งที่ผมเจอกับเบเกอรี่เนี่ยสาหัส
ผมอายุ 26 ผมมีหนี้สินเกือบร้อยล้านน่ะ ผมก็ดื้อไง ไม่ยอมให้แม่ช่วย ไม่เอา ไม่ยอม
คือเค้าไม่รู้ไงว่าเราเจออะไรมาบ้างน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ถ้าผมสรุปอย่างนี้ได้มั้ย
คือพี่เป็นคนมีความมุ่งมั่นแรง แรงกว่าคนปรกติ
คุณสุกี้: ผมเป็นคนมี passion แรง อย่างที่ผมมาทำรายการทีวีเนี่ย
ผมมีสปอนเซอร์ ผมไม่ได้เอาเงินส่วนตัวมาลง มาเอาเงินสปอนเซอร์มาลง แล้วผมจะทำเล่นๆ
ได้ไงล่ะ ถ้าผมเอาเงินส่วนตัวมาลงสิ เออ... Ku อยากทำเท่ห์ Ku ทำ แต่นี่มันไม่ใช่ไง
เราเอาเงินชาวบ้านเค้ามา เราต้องตอบโจทย์เค้า มันปวดหัวนะเว้ย แล้วผมพูดได้เลยว่า
บันเทิงนี่ มีเงินอย่างเดียวทำไม่ได้ คุณต้องเข้าใจตรงนี้ อย่างตอนทำซิ่งล่าฝันปีหนึ่ง
ก็มีทีวีค่ายหนึ่ง ผมไม่บอกว่าค่ายไหนนะ คือ ผมกับผู้กำกับก็นั่งฟังเค้าพูด จนตอนนั้นก็คิดกัน
เออ .. แล้วใครมันจะดูวะ เออ.. ฟังไปฟังมา จนโมโห ก็เออ... เดี๋ยว Ku จะ prove ให้ดูวะ
คือ เละเลยนะ เพราะเราไม่ใช่คนวงการทีวี เราก็ไม่รู้ไงว่าถูกไม่ถูก แต่มันต้องมีจุดเริ่มต้น
มันต้องเรียนรู้ไง มันไม่มีวันจบ มันเรียนรู้ได้เรื่อยๆ เพราะว่าเราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า
บ้านเราน่ะ เอาธุรกิจมาก่อน ไม่ได้เอาศิลปะมาก่อน แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเอาศิลปะ คือ
creativity มาก่อน เดี๋ยวธุรกิจจะตามมา ปีแรกนี่ ผมคลำเลยนะ ทั้งผมทั้งผู้กำกับ
สตอร์มไรเดอร์: ในรายการของพี่ พี่ต้องการจะบอกอะไรเป็นพิเศษมั้ย
บอกให้กับผู้ชมรู้
คุณสุกี้: เราอยากให้คนดูแล้ว มีแรงบันดาลใจที่จะออกไป
อาจจะไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์นะ ออกไปทำอะไรก็ได้ ตอนที่ผมจบซีซั่นหนึ่ง แล้วมีคนมาคุยกับผมว่า
เอ้อ คุณสุกี้ ผมดูรายการคุณแล้วผมอยากจะกลับไปทำอะไรที่ผมไม่กล้าทำ คือหลายๆ คนเนี่ย
มีเรื่องที่อยากจะทำแต่ไม่กล้าไง คุณต้องพร้อมที่จะกล้า คือ คนหลายคนไม่กล้า คุณกลัว
fail คุณกลัวโดนคนดูถูก มันต้องเริ่มที่หัว คือ... F..K IT .. คือคุณต้องต้องเริ่มไง
(เอามือชี้ไปที่หัวตัวเอง) แต่ถ้าไม่เริ่มก็ You’ll Never Know ก็เหมือนกับอย่างที่ผมจะหัดแข่งไง
ผมก็ ไม่รู้ ha อะไร ชุม (ชุมพล)ก็รู้ อะไรวะเนี่ย... What The F…K man ? เป็น ha
อะไรวะเนี่ย ผมก็เลยไปเรียนกับฮอนด้า แล้ววันนั้นก็ลองแข่งดู ผมได้ที่สี่ว่ะ เอ่อ
ทำไมเราได้ที่สี่วะ ผมจับฉลากได้อันดับเก้า เราก็ต้องไล่ แล้วจริงๆ เราไม่ได้เก่งสุดหรอก
แต่เราจะเอาชนะไง
สตอร์มไรเดอร์: แต่ว่าพี่เคยล้ม เมื่อตอนเด็กๆ
คุณสุกี้: ใช่ๆ ผมเคยล้ม ล้มเละเลยล่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ไม่เอาแล้วใช่มั้ยตอนนั้น
คุณสุกี้: ก็สมัยเด็กๆ น่ะ กับเพื่อนๆ ก็ไปเช่ารถกัน
รถใหญ่ๆ นะ ก็ยังแปลกใจเลยว่า รอดมาได้ยังไง น่าจะตาย เพราะไม่ได้ใส่ ป้องกันอะไรเลย
ตอนนั้นล้ม ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ หมวกก็ไม่ได้ใส่ นี่ๆ เห็นแผลตรงนี้มั้ย
(โชว์แผลที่แขนให้ดู) ก็ล้มแบบเละตุ้มเป๊ะเลยล่ะ แต่ก็โชคดีนะที่ไม่เป็นไรมากน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ลุกขึ้นมาได้ กลับบ้านได้
คุณสุกี้: ก็ลุกขึ้นมาได้ ก็เอามอเตอร์ไซค์ไปคืนเค้า
ก็เละล่ะ
สตอร์มไรเดอร์: แล้วกลัวมั้ยในวันนั้น
คุณสุกี้:
ตอนนั้นกลัวนะ ผมยอมรับเลย คือ ผมขี่มาได้ประมาณสองน่ะ แต่ก็แบบเด็กๆ ขี่กันน่ะ
แต่มีวันนั้นน่ะ โหมันเละว่ะ คือ ไปหมดเลยน่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ไม่เอาแล้วใช่มั้ยครับ ตอนนั้นน่ะ
คุณสุกี้: ใช่ คือมันกลัวน่ะ
สตอร์มไรเดอร์:
ตอนนั้นอายุสิบสามใช่มั้ยครับ
คุณสุกี้: สิบสี่ ตอนนั้นประมาณสิบสี่
สตอร์มไรเดอร์:
แล้วก็ไม่ได้คิดเรื่องมอเตอร์ไซค์อีกเลย
คุณสุกี้: ไม่ได้คิด
สตอร์มไรเดอร์: แล้วอีกครั้งที่กลับมาคิดเรื่องมอเตอร์ไซค์นี่ตอนไหนครับ
คุณสุกี้: ตอนออกจากเบเกอรี่น่ะ
สตอร์มไรเดอร์:
ทำไมครับ...ทำไมต้องมอเตอร์ไซค์
คุณสุกี้: มันมีวันนึงที่ลูกชายผม เค้าอยากดูมอเตอร์ไซค์
อยากดูเล่นๆ ตอนนั้นเค้าประมาณสิบเอ็ด เออ ที่ RCA มันมีร้านนี่หว่า
สตอร์มไรเดอร์:
แต่เราเองก็ไม่ได้คิดถึงอยู่แล้ว เพราะยังจำเหตุการณ์ตอนล้มตอนนั้นได้
คุณสุกี้:
ใช่ ไม่ได้คิด คือ Ku ไม่เอา hear (หัวเราะอารมณ์ดี) แล้ว ผมก็ไปกับลูกชายที่ RCAนี่แหละ
เพราะมันคิดออกแค่นั้น ตอนนั้นเราก็ เฮ้ย มันสวยนี่หว่า คือ มอเตอร์ไซค์ มันเป็นศิลปะ
ลูกชายผมก็ถามว่า Daddy ซื้อมั้ย ผม ก็ไม่เอาอ่ะไม่เอาเข็ด ก็บอกเค้าไงว่าเข็ด
สตอร์มไรเดอร์:
ก็ไม่ได้ซื้อ
คุณสุกี้: ใช่
แต่เผอิญช่วงนั้น เป็นช่วงที่ผมออกมาจากเบเกอรี่ แล้วมันก็มีเวลาว่างกับชีวิต ต้องย้อนหลังนิดนึง
ตอนที่ออกจากเบเกอรี่ใหม่ๆ น่ะ ผมไปเปิดบริษัทกับบอย (คุณบอย โกสิยพงษ์) ชื่อบริษัท
LOVE IS แล้วผมทำ LOVE IS ไปได้พักนึง สี่เดือน ก็รู้ว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะ ผมเริ่มรู้สึกว่า
มันซ้ำตัวเองน่ะ มันไม่คลิ๊ก ผมก็เลยบอกบอยว่า ไม่เอาแล้ว แล้วตอนนั้น หกเดือนผมก็พยายามค้นหาว่า
แล้ว Ku จะทำอะไรดีวะ ไม่รู้จะทำอะไรดี แล้วมันเริ่มเครียดไง เพราะมันว่างไป คือผมเป็นคนที่ต้องทำงานทุกวันน่ะ
จนผมเริ่มเครียดมากน่ะ จนผม mang…. F…K IT ช่าง mang วะ คือยิ่งคิดมันยิ่งไม่มาไง
ก็เลย ช่าง mang ก็เลย คิดว่าซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่เล่นดีกว่า
สตอร์มไรเดอร์: แต่ตอนนั้น เป็นคนบอกลูกเองว่าไม่เอา
คุณสุกี้: ใช่ แต่ก็เอาวะEnjoy Life สิวะ
ไปซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่เล่นดีกว่า ผมจะไปซื้อ แต่มีเพื่อนผมคนนึง ฝรั่ง mang ก็แนะนำดี
ship หายบอก สุ ยูอย่าไปซื้อแพง ยูยังไม่รู้ตัวเอง อย่าไปลงเงินเป็นล้าน ยูไปซื้ออะไรถูกๆ
มาก่อน เออเป็นคำแนะนำที่ดีว่ะ เพราะผมเองก็เลยได้รู้ว่า เออ เราชอบไม่ชอบแนวนี้
ผมก็เลยไปซื้อมาคันนึง เป็นฮอนด้าแชโดว์ ได้มาก็ขี่ไปภูเก็ตเลย
สตอร์มไรเดอร์: ได้มาคันแรก
ก็ไปภูเก็ตเลย
คุณสุกี้: มันไม่ได้ขับมาตั้งนาน ผมก็ขับไปเลย
กรุงเทพ ภูเก็ตเลย พอได้ไปทริปนั้น มันเป็นทริปที่เปิดตาผมเลยนะว่า มีตั้งหลายที่ที่ผมไม่เคยไป
เพราะทริปนั้น ผมแวะเขาสก แวะหลายๆที่ โอ้ SHIT มีอะไรเต็มไปหมดเลยน่ะ พอถึงภูเก็ตผมก็ตัดสินใจเลยว่า
ผมจะไม่ทำงานอีกสามเดือน ผมจะเที่ยวเมืองไทย อย่างสมัยก่อนตอนเราเล่นดนตรี ตอนที่ไปเล่นทัวร์คอนเสิร์ทน่ะ
เราไม่เคยได้ไปไหน อยู่แต่โรงแรม แต่ผมเป็นคนที่ไม่ทำงานไม่ได้ มันรู้สึกผิด มัน
guilty ไง ทีนี้ตอนที่อยู่ภูเก็ต ผมก็เปิดทีวีดู มันก็มีรายการท่องเที่ยวก็ประมาณว่า
สวัสดีครับ วันนี้เราอยู่ที่กาญจนบุรี ผมก็ปิ๊งขึ้นมาไง เออๆ (หัวเราะ....) เอารายการทีวีแล้วกัน
สตอร์มไรเดอร์: จากจุดเล็กๆ
คุณสุกี้: คือส่วนตัวผม ผมว่ามันห่วยว่ะ
เดิมๆ น่ะๆ มันน่าจะมีอะไรดีกว่านั้น พอกลับมาถึงกรุงเทพ ผมก็โทรหาเพื่อนที่เป็นผู้กำกับอยู่
แต่ทำหนังนะ เฮ้ยมึงเคยทำรายการทีวีมั้ย คือเค้าเคยทำรายการทีวีให้กับ National
Geographic ก็เลยทำขึ้นมาแล้วก็ไปเสนอไง ก็เลยเริ่มศึกษา เออเค้าขี่อะไรกันวะ อ๋อ
GS
สตอร์มไรเดอร์: มันขัดแย้งกันนิดๆ คือเหมือนกับ
Dream Chaser มันเหมือนกับว่าเรามีความฝันอยู่ แต่ของพี่มันเหมือนกับมันมาปะติดปะต่อกันแล้วก็เลยเกิดขึ้นมาเอง
คุณสุกี้: ไม่ใช่ๆ คืออย่างตอนที่ผมทำดนตรี
เรามีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีใช่มั้ย มันเป็นความฝันของเด็กน่ะ แต่ตอนนี้ มันเหมือนเป็นความฝันใหม่อีกอันของเรา
สตอร์มไรเดอร์: ที่ผมจะถามคือ มอเตอร์ไซค์มันเป็นแค่องค์ประกอบ
เป็นเครื่องมือ Dream Chaser อาจจะเป็นรถยนต์ก็ได้ หรืออาจจะโบกรถไปเที่ยวก็ได้
แต่ทำไมพี่ถึงเลือกมอเตอร์ไซค์
คุณสุกี้: ที่เลือกเป็นมอเตอร์ไซค์เนี่ย
มันมีความสนุกไง ตอนนั้นผมก็บอกตัวเองว่า Let’s Have Some Fun มอเตอร์ไซค์มันเป็นอะไรที่มันสนุก
สตอร์มไรเดอร์: ก็เลยเลือกมอเตอร์ไซค์ ทีนี้
ถามตรงๆ คือ มอเตอร์ไซค์มันมีอะไรสำหรับพี่
คุณสุกี้: มันมีเสน่ห์น่ะ
สตอร์มไรเดอร์: ทั้งๆที่เคยล้มมาก่อน แล้วคิดมาตลอดว่าไม่เอาอีกแล้ว
คุณสุกี้: อันนี้ผมตอบได้เลย วันที่ผมไปดูมอเตอร์ไซค์กับลูกชาย
แล้วเมื่อไหร่ ที่ผมเห็นอะไร คือมันเป็น Art น่ะ ผมว่ามันไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ แล้วอีกวันผมก็มาดูอีกยี่ห้อน่ะ
ดูคาตี้ สำหรับผม SHITมันเป็น Art มันไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ ตอนที่ผมไปเวียดนามไปเจอมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนึงของรัสเซีย
ประมาณเนี้ย .mang ห่วยแตกเลยน่ะ ไม่เหมือนที่เราเคยขี่มาก่อน แต่มันก็มีเสน่ห์ของมันอีกแบบหนึ่ง
คือมันเริ่มต้นจากความเป็น Art น่ะ เออ มีเรื่องตลก ไอ้ V MAX นี่แหละลืมไปเลย ตอนนั้นผมก็ไปหัวหิน
เวลาไปผมก็ไปเช่าพวก ครุยเซอร์ขี่ แต่วันนั้นมันไม่มี แต่มันมี V MAX จอดอยู่คันเดียว
ผมก็ เฮ้ย รถอะไรวะเนี่ย เออๆเอาคันนี้แหละ
สตอร์มไรเดอร์: บังเอิญอีกแล้ว
คุณสุกี้: mang โหดว่ะ แล้วผมก็ไปเขาสก ก็ไปเข้าเน็ต
ก็ไปอ่านดู V MAX is the most powerful motorcycle ผมก็ตั้งชื่อมัน ไอ้ Monster
ไอ้โหด พอกลับมาถึงกรุงเทพก็เลยซื้อ V MAX ...แล้วหลังจากนั้นตอนทำรายการเป็นตอนที่ผมได้
BMW มาทีนี้ ก็เลยเริ่มมาสนใจ เรื่องประสิทธิภาพแล้วล่ะ
สตอร์มไรเดอร์: จากตอนแรกที่เริ่มจาก Art
คุณสุกี้: ผมเริ่มศึกษา เริ่มสนใจเรื่อง
Performance แล้ว คือต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพมันดีว่ะ มันดีจริงๆ คือผมเริ่มสนใจ
เริ่มศึกษาแต่ผมไม่ชอบเครื่องยนต์มันเลย มันไม่เร้าใจว่ะ คือขี่แล้วหลับไง
สตอร์มไรเดอร์: ดีเกินไป
คุณสุกี้: ใช่ พูดเหมือนที่ผมพูดเลย มันดีเกินไป
ทีนี้ผมก็เลยไปอ่านเจอไอ้ไทเกอร์ (ไทรอัมพ์) มันแซง GS ได้ไง ผมก็เลยไปดู ก็ไปเจอดอม
(ดอม เหตระกูล) ก็เลยได้ไปลองขี่
สตอร์มไรเดอร์: เห็นด้วยกับ BMW ว่าเป็นรถที่ดี
ช่วยทุกอย่าง
คุณสุกี้: ดี ship หายเลย แล้วพอตอนนี้ก็เลยเริ่มศึกษา
หลังจากนั้นก็เลยสนุก ก็เลยสนใจ มาดูพวกนักแข่ง มันดูสนุกว่ะมันขี่กันได้วะ
สตอร์มไรเดอร์: โมโตจีพี
คุณสุกี้: ที่พีระนี่แหละ ดูในทีวีมันไม่รู้ไง
ต้องที่พีระ คือมันเห็นจะจะ เฮ้ย...มันขี่ไงวะ เข้าโค้งไงวะ ก็เลยเริ่มสนใจมากขึ้น
สตอร์มไรเดอร์: กลายเป็นตอนนี้มอเตอร์ไซค์ก็เลยมาเป็นส่วนหนึ่งอย่างจริงจัง
คุณสุกี้: ปีนี้ผมเอาจริงแล้ว คือจะลองไปหัดดูก่อน
แล้วถ้าเกิดเรามีพรสวรรค์ แล้วก็จะไปต่อ คือเริ่มสนุกกับมัน แล้วเข้าใจมัน ผมอยากไปเรียนกับทุกคนนะ
ผมว่ามันไม่มีผิดถูก มันเหมือนกีตาร์ คือแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มันคนละสไตล์ ก็เลยอยากเรียนกับทุกคน
และมันเป็น Technical มากๆ คือมันมั่วไม่ได้ ต้องให้มันได้ Technic ก่อน แล้วทีนี้พอมันได้
ยูก็จะ..ว้าว จะสนุกกับมันจนถึงจุดที่มันไม่ต้องคิดแล้ว มีเรื่องตลกอีกอันคือพอผมตัดสินใจ
ku เอาจริงละ ก็เลยไปซื้อชุดขี่ คือเวลาดูในทีวี พวกนักแข่ง มันดูเท่ห์ว่ะ เราก็ซื้อมาลองใส่มั่ง
แต่พอใส่ก็...ไอ้ ha อะไรวะ ทำไม ku ดูเหมือนตัวมิชลิน(หัวเราะ) mang มันเหมือนตัวมิชลินน่ะ
mang Kuไม่เห็นเท่ห์เลยว่ะ (หัวเราะอารมณ์ดี)
สตอร์มไรเดอร์: ที่ผ่านมาคุณสุกี้ขี่มาหลายรุ่นหลายแบบ
หลายยี่ห้อ แต่คันไหนที่คิดว่าใช่
คุณสุกี้: ณ. ตอนนี้ สำหรับผมคือ ไทรอัมพ์
ผมว่ามันตอบโจทย์ผมได้นะ มันตอบโจทย์ผมได้มากที่สุด คือผมเป็นคนชอบขับไกลแบบ 800
กม. ต่อวัน และก็ชอบขับเร็วด้วย แต่ก็ชอบความเป็นสปอร์ต มันตอบโจทย์ผม สำหรับดูคาตี้ผมยังฝีมือไม่พอ
แต่มันเป็นรถที่ขับสนุกมาก มันส์มาก แต่เรายังทักษะไม่พอที่จะเข้าใจมัน มันแรงมาก
ผมไปลองคันอื่น ยี่ห้ออื่น มันต่างกันมากทีเดียว
สตอร์มไรเดอร์: มอเตอร์ไซค์ แต่ละยี่ห้อ
แต่ละแบบ สำหรับมุมมองคุณสุกี้คืออะไร
คุณสุกี้: ยกตัวอย่างเช่นฮาร์เล่ย์เป็นไอคอน
เป็นลีวายส์ หรือ อย่างถ้าเป็นกีต้าร์ก็ต้องเฟนเดอร์ ถ้าคุณอยากมีลุคแบบ Bad Boy
อยากเท่ห์ผมเคยอ่านบทความอันนึง เค้าเอาเหตุผลมาประมาณว่า สิบเหตุผลที่คุณขี่มอเตอร์ไซค์
ข้อแรกๆ ก็จะเป็นเพราะมันหนักเพราะมันเร็ว แต่ข้อสุดท้ายคือเพราะมันเท่ห์น่ะ I Think
It’s Cool ใครไม่ยอมรับนี่ผมไม่เชื่อนะ ถูกมั้ยๆ คนขี่มอเตอร์ไซค์เนี่ยเพราะรู้สึกว่ามันเท่ห์ไง
ยกตัวอย่างเช่น เวลาคุณติดไฟแดง คุณขี่ดูคาตี้อยู่ แต่ข้างๆ เป็นเฟอร์รารี่เนี่ย
ดูคาตี้ยังไงมันก็เท่ห์กว่านะคุณว่ามั้ย จริงมั้ยๆ คือมันแมนน่ะ มันเป็นความคิดที่ทุเรศเนอะ
ใครไม่ยอมรับเนี่ย ผมไม่เชื่อนะ อ่านต่อ
|